กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ประกาศว่า ตั้งแต่ 3 มกราคมเป็นต้นมา เนื่องจากเกิดพายุ “ปาบึก” พัดถล่มในพื้นที่ทางภาคใต้ของประเทศไทย
ทำให้มีพายุรุนแรงและฝนตกหนัก ซึ่งก่อให้เกิดภัยพิบัติสร้างความเสียหายใน 23 จังหวัดของประเทศไทย ดังนั้น จิตอาสาฉือจี้ 4 คน และเจ้าหน้าที่อีก 6 คน จึงเดินทางไปยังจังหวัดนครศรีธรรมราชในช่วงเย็นของวันที่ 8 มกราคม เพื่อเตรียมดำเนินการสำรวจผลกระทบจากภัยพิบัติในวันต่อไป
ลงพื้นที่สำรวจภัย ดูแลผู้ประสบภัยจากภัยพิบัติ
9 มกราคม จิตอาสาฉือจี้เข้าพบคุณชูรินทร์ ขวัญทอง พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งได้แบ่งปันว่า พายุปาบึกก่อให้เกิดผลกระทบในพื้นที่ 1,553 หมู่บ้าน 165 ตำบล 23 จังหวัด มีผู้ได้รับผลกระทบเกือบ 200,000 ครัวเรือน ประมาณ 680,000 คน และมีผู้เสียชีวิต 2 คน
คุณชูรินทร์ กล่าวด้วยว่า เวลาที่เกิดภัยธรรมชาติเช่นนี้ รัฐบาลจะให้เงินสนับสนุน 33,000 บาท อย่างไรก็ตาม ยังไม่เพียงพอสำหรับภัยพิบัตินี้ นายชูรินทร์ ขวัญทอง พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครศรีธรรมราช อธิบายว่า “ผู้ว่าฯ นั้นจะมีงบประมาณมาจากการบริจาค ซึ่งตอนนี้ทุกหลังจะได้รับการซ่อมแซม โดยดำเนินการให้หลังหนึ่ง 230,000 บาท ในวงเงิน 230,000 บาทต่อหลัง ไม่รวมค่าแรง 72,000 บาท(ค่าอาหาร)”
จิตอาสาเดินทางไปยังพื้นที่ชายฝั่ง ซึ่งรวมไปถึงพื้นที่อำเภอเมือง และอำเภอปากพนัง เพื่อลงพื้นที่สำรวจและเยี่ยมเยียนผู้ประสบภัย
คุณนิพนธ์ หนึ่งในผู้ประสบภัยตำบลมะม่วงสองต้น อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เล่าว่า ช่วงเวลาตี 2-3 ในขณะที่พายุกำลังพัดถล่มขึ้นฝั่งนั้น เขาออกไปช่วยเพื่อนบ้านจัดการกับต้นไม้ที่โค่นลงมา โดยไม่ได้คิดถึงบ้านตนเองและภรรยาที่อยู่คนเดียวในบ้าน คาดไม่ถึงว่าบ้านของเขาเองก็ถูกต้นไม้ใหญ่และเสาโทรศัพท์ล้มทับ เขากล่าวว่า “ทีแรกก็คิดว่า มันคงไม่ล้ม ของเรามันต้นใหญ่ไง แต่ว่าของเพื่อนนั้น มันต้นเล็กๆ คือล้มหมดแล้ว ก็คือให้แฟนอยู่บ้าน แล้วผมก็ออกไปพื้นที่”
ทำความเข้าใจกับสถานการณ์ภัยพิบัติ เพื่อประเมินความช่วยเหลือ
บริเวณชายฝั่งอำเภอปากพนัง มีครอบครัวผู้ประสบภัยซึ่งมีสมาชิกในครอบครัว 3 คน หนึ่งในนั้นคือคุณยายที่อายุมากแล้ว บ้านของคุณยายถูกพายุพัดถล่มเหลือเพียงพื้นไม้ จึงขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านคนอื่นๆ และได้รับเงินช่วยเหลือ 1,500 บาท ไว้สำหรับเป็นค่าเช่าบ้าน คุณยายบอกเล่ากับจิตอาสาว่า : “จานกินข้าวก็หมด ไม่ได้พาอะไร พามาแต่คนกับเสื้อผ้าสามชุดเท่านั้น ใครจะนึกว่าพายุจะมาแบบนี้ล่ะลูกเอ้ย นิ่งๆอยู่ วูบเดียวไปหมดเลย”
ในบรรดาผู้ประสบภัยนั้นหลายคนอาศัยอยู่ในพื้นที่อนุรักษ์ชายฝั่งทางทะเล เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐเล่าว่า บ้านของผู้ประสบภัยเหล่านี้ไม่สามารถยื่นขอเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลได้ เนื่องจากพวกเขาไม่มีโฉนดที่ดิน คุณชูรินทร์ พัฒนาสังคมและสวัสดิการจังหวัดนครศรีธรรมราช ยังแบ่งปันอีกว่า จากบัญชีรายชื่อผู้ประสบภัยพบว่า มีบ้านของผู้ประสบภัยที่พังเสียหายทั้งหลังจำนวน 297 หลัง ได้รับความเสียหายบางส่วน 461,193 หลัง และได้รับความช่วยเหลือซ่อมแซมแล้ว 10,800 หลัง
จากการลงพื้นที่ พบว่าหลังคาบ้านของผู้ประสบภัยรายหนึ่งในเขตอนุรักษ์ทางทะเลอำเภอปากพนัง ถูกพายุพัดหลุดลอยไป สมาชิกในครอบครัวทั้ง 4 คน จึงต้องนอนในห้องครัว พวกเขาบอกว่าเพราะบ้านไม่มีโฉนดที่ดิน จึงไม่สามารถยื่นขอเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลได้ โชคดีที่ทางเทศบาลรับปากว่าจะจัดหากระเบื้องให้ 100 แผ่น อย่างไรก็ตาม กระเบื้องจำนวนนี้ยังไม่เพียงพอสำหรับการซ่อมแซม และไม่ทราบว่าจะได้รับกระเบื้องเมื่อใด ดังนั้น เขาจึงใช้เงินส่วนตัวที่มีอยู่ซื้อกระเบื้อง 80 แผ่น และดำเนินการซ่อมแซมหลังคาด้วยตัวเอง
จิตอาสาฉือจี้ คุณหวังจงเสียน แบ่งปันว่า “ผู้ประสบภัยที่บ้านพังทั้งหลังในจำนวน 297 ครัวเรือน ส่วนใหญ่มีฐานะค่อนข้างยากจนและโครงสร้างบ้านโดยทั่วไม่ค่อยจะดีนัก จึงทำให้บ้านพังเสียหายได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีสภาพภัยพิบัติอีกอย่างคือ ต้นไม้และเสาไฟหักล้มทับบ้านจนพังเสียหาย ตามที่พบเห็นอยู่ทั้งหมดก็แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ตามที่กล่าวมาข้างต้นครับ”
คุณหวังจงเสียนยังแบ่งปันอีกว่า “ในบรรดา 297 ครัวเรือน เป็นครอบครัวที่บ้านพังทั้งหลัง ชีวิตของพวกเขาต้องพบเจอกับความยากลำบาก ดังนั้น หัวข้อหลักในการประชุมวันนี้ (11 มกราคม) คือการมอบเงินช่วยเหลือฉุกเฉินให้ผู้ประสบภัยที่บ้านพังเสียหายทั้งหลัง จำนวน 297 หลังครับ”
จากการการประชุม จิตอาสาฉือจี้ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะสามารถใช้ความรักดูแล ปลอบโยนผู้ประสบภัยที่บ้านพังเสียหายทั้งหลัง โดยจะมอบเงินช่วยเหลือตามจำนวนสมาชิกในแต่ละครอบครัว เพื่ออวยพรให้พวกเขาสามารถฟื้นฟูบ้านเรือนได้ในเร็ววัน
▲จิตอาสาเข้าพบกับนายชูรินทร์ ขวัญทอง พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครศรีธรรมราช
▲จิตอาสาฉือจี้สำรวจบ้านของชาวบ้านที่ได้รับความเสียหาย ที่ตำบลมะม่วงสองต้น จังหวัดนครศรีธรรมราช
▲จิตอาสาฉือจี้นั่งเรือเป็นระยะทาง 2 กิโลเมตร ไปยังอำเภอปากพนัง
และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบตามชายฝั่งเพื่อทราบความต้องการของผู้ประสบภัยพิบัติ
▲จิตอาสาเยี่ยมเยียนผู้ประสบภัยที่ได้รับผลกระทบตามแนวชายฝั่งอำเภอปากพนัง
▲ คุณยายอาศัยอยู่กับลูกหลาน และบ้านที่กำลังพังลงมา ปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างยื่นขอรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล
▲ บ้านของผู้ประสบภัยที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่อนุรักษ์ทางทะเลอำเภอปากพนัง จะเห็นได้ว่าหลังคาบ้านของพวกเขาถูกพายุพัดหลุดออกไป
▲ สมาชิกทั้ง 4 คนในครอบครัวต้องมานอนในห้องครัว
▲บ้านของผู้ประสบภัยพังเสียหายจากพายุ เหลือเพียงแค่เสาปูน
▲คุณยาย (คนที่สองจากทางขวา) บ้านพังเสียหายทั้งหลัง จึงขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านคนอื่นๆ และได้รับเงินค่าเช่าบ้าน 1,500 บาท
เรื่อง คุณบุษรา สมบัติ ภาพ คุณพิณญ์ธิชา จันทรสุขศรี คุณพิสิษฎิ์ หาญพงศ์เจริญ