สายลมหนาวที่มาเยือน ทำให้อุณหภูมิในกรุงเทพมหานครค่อย ๆ ลดต่ำลง ทว่า ณ สถานธรรมจิ้งซือกลับเต็มไปด้วยบรรยากาศคึกคักท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น เหล่าคณะทำงานต่างก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจ เพื่อเตรียมต้อนรับสมาชิกครอบครัวฉือจี้จากทั่วประเทศที่กำลังจะเดินทางกลับมา ทุกคนมุ่งมั่นวางแผนงาน แบ่งงาน เพื่อให้
“การประชุมสัมมนาอาสาสมัครฉือจี้และพิธีต้อนรับสัตยบุรุษและกรรมการฉือจี้ใหม่” สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ความหนาวเย็นที่มาเยือนทุกเช้าเย็น ทว่าภายในหัวใจของชาวฉือจี้มีเพียงแต่ความอบอุ่น
1
ระยะทางไม่ไกลเกินใจ
อาสาสมัครที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ เดินทางมาจากจังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก ชลบุรี ราชบุรีและนครปฐม เป็นต้น โดยอาสาสมัครซึ่งเดินทางมาจากจังหวัดเชียงใหม่ ต้องการเดินทางมาให้ทันชั้นเรียนแรกในบ่ายวันที่ 6 มกราคม เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับอาสาสมัครฉือจี้อาวุโสจากไต้หวัน จึงต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด เวลา 01.00 น. และสภาพอากาศในคืนวันนั้น นอกจากจะหนาวเหน็บแล้วยังมีฝนตกอีกด้วย ทำให้คนขับรถตู้ ต้องขับวนไปรับอาสาสมัครตามบ้านทีละหลัง จนผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จึงจะสามารถออกเดินได้ โชคดีที่ผ่านช่วงเทศกาลวันหยุดยาวมาแล้ว ทำให้ปริมาณรถบนท้องถนนไม่มากเท่าไร และสามารถเดินทางถึงจุดหมายปลายทางพร้อมทั้งเข้าร่วมชั้นเรียนแรกในหัวข้อ “คณะทำงานระบบจตุสัมพันธ์” ได้ทันเวลา และทุกคนต้องพยายามเติมความกระปรี้กระเปร่าให้กับตนเอง เพื่อจะสามารถเรียนรู้ธรรมะ และวิธีการทำงานจากอาสาสมัครอาวุโสให้ได้มากที่สุด
▲กลุ่มอาสาสมัครไต้หวันคุณเดวิด หลิวและคุณโมนิกา พูดคุยกับอาสาสมัครฉือจี้ในเมืองไทย
ด้วยบรรยากาศอันอบอุ่น ตั้งปณิธานอันยิ่งใหญ่ ร่วมผลักดันและสนับสนุนการดำเนินภารกิจของฉือจี้
▲คุณโมนิก้าตั้งใจแบ่งปันเรื่อง “การรวมใจกันและการดูแลญาติธรรม” แก่ผู้เข้าร่วมอบรม
2
“รับรองวุฒิ” คือ จุดเริ่มต้นของการแบกรับภาระหน้าที่
วันที่ 8 มกราคม เพื่อให้กรรมการและสัตยบุรุษฉือจี้ที่เพิ่งผ่านการรับรองวุฒิได้เข้าใจว่า “การรับรองวุฒิ” ไม่ได้หมายถึงการสิ้นสุด แต่เป็นการเริ่มต้นแบกรับภาระหน้าที่ หวังว่าทุกคนจะ “ใช้ปัจจุบันอย่างคุ้มค่า หมั่นพากเพียรให้ต่อเนื่องชั่วนิรันดร์” จึงได้เริ่มต้นจัดพิธีต้อนรับกรรมการฉือจี้และสัตยบุรุษใหม่ตั้งแต่ พ.ศ. 2554 เป็นต้นมา
▲วิธีการพูดถ่ายทอดเรื่องราวของคุณโมนิก้า ทำให้มีเสียงหัวเราะตลอดการบรรยาย
▲คุณเดวิด หลิว ร่วมบรรยายในหัวข้อ “ฉกฉวยวันเวลา มุ่งมั่นเดินตามปณิธาน”
3
จิตตั้งปณิธาน กายลงมือปฏิบัติ
พ.ศ. 2548 คุณเอเลน เฉิน ในวัย 14 ปี ซึ่งรู้จักอาสาสมัครฉือจี้ผ่านคุณพ่อคุณแม่ ทำให้ได้มีโอกาสมาเข้าร่วมกิจกรรมดูแลเด็ก ๆ ด้อยโอกาส ณ วัดโบสถ์วรดิตถ์ จังหวัดอ่างทอง และได้ตระหนักถึงความสุขของตนเอง จากการเห็นความทุกข์ของผู้อื่น
หลังจากมาร่วมเป็นยุวชนฉือจี้ใน พ.ศ. 2548 แล้ว พ.ศ. 2551 คุณเอเลน จึงได้เดินทางไปศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ณ ประเทศออสเตรเลีย โดยจากการติดต่อผ่านอาสาสมัครฉือจี้ประเทศไทย ทำให้คุณเอเลน ได้รู้จักกับชาวฉือจี้ในออสเตรเลีย ทำให้เขาได้มีโอกาสพัฒนาตนเองบนเส้นทางฉือจี้ไปอีกก้าว โดยกล่าวว่า “ผมบอกกับอาสาสมัครฉือจี้ในออสเตรเลียว่า ผมยังปรับตัวในด้านอาหารการกินไม่ได้ แล้วผมก็คิดถึงบ้าน คิดถึงอาหารฝีมือแม่เป็นอย่างมาก ในตอนนั้นอาสาสมัครฉือจี้ซึ่งเป็นชาวไต้หวัน จึงช่วยทำอาหารให้ผมกิน แล้วก็ใส่ปิ่นโตให้ผมนำกลับไปบ้าน ทุกสุดสัปดาห์ พี่ ๆ น้อง ๆ เยาวชนฉือจี้ก็จะชวนผมให้มาเข้าร่วมกิจกรรมฉือจี้ ให้การดูแลผมอย่างเป็นกันเอง คอยกำชับให้ผมกินข้าวเย็นด้วยกันก่อน ค่อยกลับบ้าน ทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของครอบครัว ความเอาใจใส่นี้เอง ที่ทำให้ผมซาบซึ้งใจมาจนถึงทุกวันนี้”
คุณเอเลน เฉิน ยังได้แบ่งปันถึงความรู้สึกจากการเข้าร่วมพิธีต้อนรับสัตยบุรุษและกรรมการฉือจี้ใหม่ว่า พิธีการในวันนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เมื่อพิธีการสิ้นสุดลงแล้ว เราจะลงมือสานต่อหน้าที่อย่างไร เพื่อที่จะช่วยแบ่งเบาภาระอันหนักอึ้งของท่านธรรมาจารย์เจิ้งเอี๋ยนให้ได้อย่างแท้จริง ดังนั้น เขาจึงได้ตั้งปณิธานกับท่านธรรมาจารย์ว่า “ผมจะพยายามขับเคลื่อนพลังของรุ่นใหม่ ด้วยการผลักดันการทำงานของเยาวชนฉือจี้(ฉือชิง)ครับ”
คุณเอเลน เฉิน ยังกล่าวต่ออีกว่า “ในเมื่อผมสำเร็จการศึกษาชั้นอุดมศึกษาแล้ว ผมก็มีบทบาทเป็นรุ่นพี่ของเยาวชนฉือจี้ครับ ผมหวังว่าจะสามารถนำความรักที่ผมได้รับทั้งจากรุ่นพี่ จากอาสาสมัครฉือจี้ทุกคน เมื่อครั้งที่ยังเป็นเยาวชนฉือจี้ แบ่งปันไปให้กับรุ่นน้องที่มีบุญสัมพันธ์ต่อกัน เพื่อมาร่วมกันทำงานจิตอาสาในนามเยาวชน ฉือจี้ครับ”
▲คุณเอเลน เฉิน ตั้งปณิธานว่า จะใช้กำลังคนรุ่นใหม่
ของตนผลักดันกลุ่มเยาวชนฉือจี้ (ฉือชิง) ในเมืองไทย
▲ผู้เข้าร่วมอบรมตั้งใจจดบันทึกสิ่งที่วิทยากรบรรยาย
▲“ความสง่างามของหมู่คณะ มาจากความงดงามของแต่ละคน” อาสาสมัครอาวุโสให้กรรมการฉือจี้ใหม่สำรวจการแต่งกายและบุคลิกภาพของตน
4
กินมังสวิรัติ ด้วยใจมั่นในปณิธาน
คุณสมจิตร มีศิลป์สม อาสาสมัครฉือจี้จากอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ซึ่งรู้จักฉือจี้ผ่านหนังสือที่ได้รับจากเพื่อนบ้าน คือ คุณกัลยา โพธาวานิช เมื่ออ่านจบก็รู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก จึงเข้าไปสอบถามเพิ่มเติมว่า “ฉือจี้” คืออะไร
แม้หนังสือจะทำให้ประทับใจ แต่ก็ยังคลางแคลงใจ ต่อมาคุณกัลยาจึงได้แจ้งว่า ฉือจี้ได้กำหนดวันเวลาที่จะจัด “การอบรมจิตอาสาฉือจี้” ในพื้นที่อย่างเป็นทางการแล้ว คุณสมจิตรจึงตัดสินใจลงชื่อเข้าร่วมการอบรมในทันที
หลังจากมีความเข้าใจฉือจี้เบื้องต้น จากการอบรมจิตอาสาฉือจี้แล้ว คุณสมจิตรจึงตัดสินใจเข้าร่วมการอบรมกรรมการและสัตยบุรุษฉือจี้ปีที่1 และปีที่2 ต่อเนื่องทันที แต่เพราะบุญปัจจัยต่าง ๆ ยังไม่พร้อม จำนวนสมาชิกครอบครัวที่ร่วมออมบุญยังไม่ครบตามที่กำหนด ทำให้คุณสมจิตรยังไม่สามารถเดินทางไปรับรองวุฒิจากท่านธรรมาจารย์เจิ้งเอี๋ยนที่ไต้หวันได้ แต่คุณสมจิตรก็ไม่เคยถอดใจ ท่านยังคงมาร่วมเป็นจิตอาสากับฉือจี้อย่างต่อเนื่อง ร่วมก้าวเข้าสู่ชุมชนเพื่อดูแลผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก ความรักอันยิ่งใหญ่ของชาวฉือจี้ ที่ให้การดูแลผู้ยากไร้เสมือนญาติพี่น้องของตนเอง ไม่เพียงสร้างความประทับใจให้กับคุณสมจิตร แต่ยังเป็นแรงผลักดัน ที่ทำให้คุณสมจิตรยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้ จนสามารถเดินทางกลับไปรับรองวุฒิกรรมการฉือจี้ได้ในปลายปี พ.ศ. 2559
คุณสมจิตรกล่าวว่า เสียดายที่ตนเองยังทุ่มเทได้ไม่มากพอ ทำให้ต้องใช้เวลานานหลายปี กว่าจะได้เดินทางไปรับคำอวยพรจากท่านธรรมาจารย์เจิ้งเอี๋ยนในพิธีรับรองวุฒิกรรมการ และระหว่างที่กลับไปยังบ้านเกิดแห่งจิตวิญญาณ ณ สมณารามจิ้งซือเมืองฮวาเหลียนนั้น ก็ได้รับกำลังใจจากภิกษุณี จนเกิดความเชื่อมั่นและตั้งปณิธานต่อหน้าพระพุทธรูปพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ พร้อมทั้งตั้งจิตอธิษฐานว่า “จะขอเดินตามรอยเท้าท่านธรรมาจารย์ นอกจากกินมังสวิรัติแล้ว ก็ตั้งใจว่าจะไม่ขายเนื้อสัตว์ หันมาขายอาหารมังสวิรัติค่ะ”
▲คุณสมทรง มีศิลป์สม ตั้งปณิธานว่า
จะเลิกขายเนื้อสัตว์ และหันมาขายอาหารมังสิวรัติแทน
▲ทุกคนถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึก
เรื่อง คุณบุษรา สมบัติ ภาพ คุณพิณญ์ธิชา จันทร์สุขศรี, คุณจรรยพร เข้มแข็ง, คุณบุษรา สมบัติ