ค้นหาข่าว

ในปัญหาพบคำตอบ เข้าใจชีวิตด้วยการ “ขอบพระคุณ”

 20191119Web Cover

  

“ในที่สุด วันนี้ผมก็ได้พบกับคำตอบ” หลังจากรับฟังการบรรยายและยกมือซักถามข้อสงสัยกันอย่างคึกคัก ผู้ร่วมฟังการบรรยายพิเศษความสุขของชีวิต ต่างบอกเล่าความประทับใจของตนเอง และชื่นชมการตอบคำถามของผู้บรรยาย 

 

 ช่วงบ่ายของวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ.2562 เหล่าผู้ร่วมฟังการบรรยาย ต่างทยอยเดินทางมาถึงสถานธรรมจิ้งซือ มูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวันในประเทศไทย เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่สถานที่จัดการบรรยาย ก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากจิตอาสาฉือจี้ พร้อมทั้งชักชวนให้จับ “เซียมซีวาทะจิ้งซือ” รับธรรมะของท่านธรรมาจารย์เจิ้งเอี๋ยน ก่อนที่บางส่วนจะรับหูฟังเครื่องแปลภาษา และทยอยเข้านั่งประจำที่ เพื่อรอเวลาเริ่มการบรรยายพิเศษความสุขของชีวิต หัวข้อ “ในปัญหา พบคำตอบ”


ผู้บรรยายในวันนี้ เป็นจิตอาสาฉือจี้ที่เดินทางมาทั้งจากไต้หวันและจีน ประกอบด้วยคุณหลินซิ่งฮุ่ย คุณเจียงจื้อเชา คุณหลินหรงจี๋ ที่นำประสบการณ์ของตนเอง มาถ่ายทอดสู่ผู้ร่วมฟังการบรรยาย พร้อมทั้งผลักดันให้ทุกคนฝึกฝน เพื่อเปลี่ยน “การพร่ำบ่น” เป็น “การขอบพระคุณ” เพราะแท้จริงแล้ว ปัญหาคือของขวัญแห่งชีวิต เมื่อพานพบอุปสรรค จึงจะมีโอกาสได้พัฒนาสติปัญญา ฝึกเผชิญหน้ากับปัญหาด้วยใจปีติ และถนอมโอกาสที่จะทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นต่อไป เพราะมีเพียงการช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความจริงใจเท่านั้น จึงจะได้รับความปีติสุขทางจิตวิญญาณอย่างแท้จริง

 

20191119-013-bylek resize

จิตอาสาฉือจี้ คุณเฉินอวี่หง เชิญผู้ร่วมรับฟังการบรรยายจับ “เซียมซีวาทะจิ้งซือ” แบ่งปันธรรมะและข้อคิดจากท่านธรรมาจารย์เจิ้งเอี๋ยน

 

ทำดีต้องทันท่วงที เมื่อมีปณิธานย่อมมีพลัง


จิตอาสาฉือจี้ คุณเจียงจื้อเชาบอกเล่าความเปลี่ยนแปลงของตนเอง และประโยชน์ที่ได้รับ ตลอดระยะเวลา 20 กว่าปีหลังจากได้ก้าวเข้ามาเป็นจิตอาสาฉือจี้ “ยิ่งคุณเข้าร่วมกิจกรรมฉือจี้มากเท่าไร คุณจะยิ่งเข้าใจถึงคุณค่าอันมหาศาลของชีวิต ดังนั้น จึงต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ล้วนวนเวียนอยู่รอบตัวเรา” คุณเจียงจื้อเชายังได้แนะนำหนังสือที่ตนเองร่วมเขียนเรื่อง “Turn On The Heart Lamp” ซึ่งมีเนื้อหาบอกเล่าเรื่องราวการเคียงข้างผู้ต้องขังในไต้หวันจนพวกเขากลับตัวกลับใจ เรื่องราวชีวิตจริงที่น่าทึ่ง สร้างความชื่นชมให้กับผู้ร่วมรับฟังการบรรยายเป็นอย่างมาก

 

20191119-062-bylek resize

การบรรยายพิเศษความสุขของชีวิต บอกเล่าเรื่องราวอันน่าซาบซึ้งใจแก่ครอบครัวฉือจี้และบุคคลทั่วไปที่สนใจ


ผู้ร่วมฟังบรรยายสอบถามว่า ตนเองเคยสงสัยวิธีการแก้ปัญหา ด้วยการกักขังร่างกายของผู้ที่กระทำความผิด ซึ่งถือเป็นการลงโทษทางกายภาพ ที่ทำให้จิตใจถูกจองจำไปด้วย เมื่อพ้นโทษออกมา จิตใจของอดีตผู้ต้องขังที่ยังไม่ได้รับการฟื้นฟู หรือชี้แนะให้พบกับหนทางที่ถูกที่ควร ก็มักจะทำผิดซ้ำซาก จนต้องเข้าๆ ออกๆ เรือนจำอยู่เสมอ ดังนั้นการที่จิตอาสาฉือจี้ไต้หวัน ก้าวเข้าไปในเรือนจำ เพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทำงานฟื้นฟูจิตใจและชี้แนะหนทางที่ถูกต้องให้กับผู้ต้องขัง ไม่เพียงทำให้พวกเขาสามารถกลับตัวกลับใจเป็นคนดีของสังคมได้ แต่ถึงขนาดที่มีอีกหลายคน ยินดีเปลี่ยนจาก “ผู้รับ” กลายเป็น “ผู้ให้” เพราะเกิดความเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง

 

ผู้ฟังการบรรยายยังสอบถามต่ออีกว่า การที่จิตอาสาฉือจี้ก้าวเข้าไปในเรือนจำ เพื่อฟื้นฟูจิตใจของผู้ต้องขัง ทำอย่างนี้แล้วจะเกิดผลกระทบอย่างไรกับจิตใจของตัวจิตอาสาเอง คุณเจียงจื้อเชาอธิบายว่า “การที่ทุกคนเข้ามาร่วมเป็นจิตอาสาฉือจี้ ไม่เพียงสามารถช่วยเหลือทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นได้เท่านั้น เพราะในระหว่างที่เรากำลังทำงาน ก็จะได้เรียนรู้จากเรื่องราวชีวิตจริงของคนที่เรากำลังช่วยเหลือ ได้เห็นความทุกข์ของผู้อื่น เพื่อเข้าใจความสุขในปัจจุบันที่ตนเองกำลังครอบครอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน ตามที่ท่านธรรมาจารย์เจิ้งเอี๋ยนสอนเราอยู่เสมอ ดังนั้น นอกจากการได้ช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว ระหว่างทางจึงมักได้ค้นพบความสุขของตนเอง ซึ่งนี่เป็นปัจจัยของการสร้างสังคมที่สงบสุขอย่างแท้จริงครับ"


“เนื่องจากท่านธรรมาจารย์สอนเราว่า ความสำเร็จของชีวิต ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า ในกระเป๋าของเรามีเงินอยู่เท่าไร ในสมุดเงินฝากมีเลขศูนย์อยู่กี่หลัก แต่อยู่ที่ว่าเราได้ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นมากน้อยแค่ไหน ดังนั้น เราจึงรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก ที่ได้มีโอกาสไปช่วยเหลือผู้อื่น” คุณเจียงจื้อเชาบอกเล่าเรื่องราวชีวิตจริงของจิตอาสาฉือจี้อีกท่านหนึ่ง คือ คุณหลินหรงจี๋ แม้ปีนี้ท่านจะอายุ 82 ปีแล้ว ทว่ายังคงมุ่งมั่นทำความดีด้วยความพากเพียร เดินทางไประหว่างไต้หวันและประเทศจีนเป็นประจำทุกเดือน เพื่อรวบรวมเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา โดยไม่รู้สึกว่ายากเย็นหรือเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด

 

20191119-089-bylek resize

จิตอาสาฉือจี้ คุณหลินหรงจี๋ ในวัย 82 ปี ใช้ชีวิตหลังเกษียณทำความดีเพื่อผู้อื่นด้วยความกระตือรือร้น ทุกเดือนช่วยระดมเงินบริจาคจากผู้มีจิตเมตตาทั้งในไต้หวันและประเทศจีน

 

คุณหลินหรงจี๋กล่าวว่า “ปัจจุบันผมมีสมาชิกผู้บริจาคให้ฉือจี้ที่ประเทศจีน ประมาณ 120 ครอบครัว และที่ไต้หวันประมาณ 60 ครอบครัวครับ” เนื่องจากเกิดในครอบครัวที่อัตคัดขัดสน ต้องตรากตรำทำงานหนักมาตั้งแต่จำความได้ ทำให้คุณหลินหรงจี๋เข้าใจความรู้สึกของผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากเป็นอย่างดี ดังนั้น เมื่อได้รู้จักฉือจี้ตั้งแต่ พ.ศ.2549 เป็นต้นมา ไม่ว่าพบเจอใคร จึงมักเป็นสะพานบุญบอกเล่าเรื่องราวที่ฉือจี้ทำ ชักชวนผู้มีจิตเมตตามาร่วมกันช่วยเหลือดูแลผู้ยากไร้ จนถึงวันนี้ คุณหลินหรงจี๋ในวัย 82 ปี ก็ยังไม่เคยเกษียณจากการทำงานจิตอาสาเลยแม้แต่วันเดียว ยังคงใช้เวลาทุกวินาทีอย่างคุ้มค่า เข้าร่วมทุกกิจกรรมของฉือจี้เมื่อมีโอกาส จิตวิญญาณที่มุ่งมั่นพากเพียรนี้ ถือเป็นแบบอย่างที่ควรปฏิบัติตามของทุกคน

 

เผชิญทุกปัญหา ด้วยใจสำนึกคุณ


“เมื่อเราอยู่ท่ามกลางผู้คน จึงจะพบว่า สาเหตุของปัญหาต่างๆ แท้จริงแล้วล้วนเกิดจากตัวเราเอง เราจึงต้องรับผิดชอบเอง เพราะทุกคนรอบตัวเรา ล้วนสะท้อนให้เราได้เห็นตัวเอง ได้ค้นพบว่า แท้จริงแล้วตัวเรายังมีเมตตาจิตไม่เพียงพอ ดูภายนอกแล้วเรายังเหมือนคนที่ชอบถือตัว หรือเรายังมีรอยยิ้มไม่มากพอ จนทำให้ผู้อื่นเข้าใจเราผิด เป็นต้น” จิตอาสาฉือจี้ คุณหลินซิ่งฮุ่ย นักเขียนผู้มีชื่อเสียงและผลงานประพันธ์จำนวนมาก บอกเล่าถึงการค้นพบคำตอบท่ามกลางปัญหา โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์จริงที่พานพบมา กระตุ้นให้ผู้ฟังได้คิดตรึกตรองตาม เพื่อลองปรับเปลี่ยนมุมมอง ก่อนจะค้นพบปัญญาอันยิ่งใหญ่

  

20191119-108-bylek resize

จิตอาสาฉือจี้ คุณหลินซิ่งฮุ่ย อาศัยประสบการณ์ส่วนตัว แบ่งปันประสบการณ์ในหัวข้อ “ในปัญหาพบคำตอบ”

  

จิตอาสาฉือจี้ คุณหลินซิ่งฮุ่ย เน้นย้ำว่า “ประเด็นสำคัญคือต้องเปลี่ยนจิตใจที่เคยชินกับการพร่ำบ่น ให้เป็นพลังงานที่ถูกต้อง โดยเปลี่ยนเป็นจิตใจแห่งความสำนึกคุณ ไม่ว่าเรื่องราวใดๆ ก็ตาม ต้องขอบคุณใครสักคนหรือสักเหตุการณ์ให้ได้ก่อน จากนั้นจึงถนอมโอกาสในการทำความดีเสียสละ และเมื่อได้เข้ามาเป็นจิตอาสาฉือจี้แล้ว ก็ต้องไม่ลืมเลือนปณิธานแรกเริ่มของตนเอง เมื่อนั้นย่อมไม่เกิดความคิดที่จะถดถอย”


คุณอานัน ไตรเดชาพงศ์ ผู้ร่วมรับฟังการบรรยาย กล่าวว่า “หลังจากฟังการบรรยายในวันนี้ ผมได้สอบถามว่า จะปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างไร วิทยากรก็บอกว่าต้องเป็นผู้ให้ก่อน เพราะเมื่อเราให้ จิตใจของเราก็จะพัฒนาขึ้น เมื่อนั้นเราก็จะเข้าใจตัวเองมากยิ่งขึ้นครับ” คุณอานันยังเน้นย้ำว่า การฟังบรรยายในวันนี้ ทำให้รู้ว่าตนเองต้องกลับไปฝึกฝนจิตใจเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดความคิดในแง่ลบขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

20191119-142-bylek resize

จิตอาสาฉือจี้ คุณหลินซิ่งฮุ่ย ตอบข้อซักถามของผู้ร่วมรับฟังการบรรยายได้อย่างน่าสนใจ

 

ผู้ร่วมรับฟังการบรรยายอีกท่าน คือ คุณชมพู หุ่นจีน ซึ่งบอกเล่าว่า ตนเองเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีลูกสาววัยรุ่น ช่วงนี้เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจของครอบครัว ทำให้ไม่สามารถตามใจลูกสาวเหมือนเมื่อก่อนได้ จนเกิดความไม่เข้าใจกันระหว่างแม่ลูกขึ้นบ่อยครั้ง ตนเองก็มักจะบ่นว่าบุตรสาวด้วยอารมณ์ ทำให้ลูกเข้าใจผิดว่าแม่ไม่รัก แต่ทว่าวันนี้คุณชมพูได้พบกับคำตอบที่จะกลับไปแก้ไขปัญหาข้อนี้ “เมื่อก่อนเรามักจะใช้อารมณ์แก้ไขปัญหา ตื่นเช้ามาก็บ่นว่าลูกต่างๆ นานา คาดโทษลูกหลายสิ่งหลายอย่าง ว่าถ้าไม่ทำตามที่บอกจะอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งวิทยากรท่านก็แนะนำว่า ให้เปลี่ยนวิธีการด้วยการให้ความรักความอบอุ่นเพิ่มมากยิ่งขึ้น คอยดูแลและอธิบาย ต้องรู้จักอวยพรลูกของเรา นั่นหมายความว่า ต้องเปลี่ยนที่เราก่อน เราต้องใจเย็นยิ่งขึ้นค่ะ”

 

ท่านธรรมาจารย์เจิ้งเอี๋ยนสอนเสมอว่า “คำตอบ” ของปัญหาต่างๆ ในชีวิต อยู่ที่การ “ขอบคุณ” และ “ความรัก” หากรู้จักฝึกฝนที่จะแปรเปลี่ยน “การพร่ำบ่น” ให้เป็นการ “ขอบคุณและอวยพร” เมื่อนั้นย่อมหลุดพ้นจากความทุกข์ทางจิตใจได้ ก่อเกิดเป็นพลังที่จะสร้างสรรค์ลงมือทำสิ่งต่างๆ ต่อไป เมื่อนั้นจึงจะเป็นชีวิตที่มีความสุขอย่างแท้จริง

 


เรื่อง บุษรา สมบัติ       ภาพ พิณญ์ธิชา จันทร์สุขศรี