บ่มเพาะผู้บันทึกความจริงอันดีงาม จากกิจกรรมรักษาพยาบาลฟรี
คณะผู้บริหาร อสมท เยี่ยมชมมูลนิธิพุทธฉือจี้ เรียนรู้จิตวิญญาณของสถานีโทรทัศน์ต้าอ้าย
29 ตุลาคม 2560 เป็นกิจกรรมบริการชุมชน รักษาพยาบาลฟรีครั้งที่ 34 ของมูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวันในประเทศไทย ภายใต้ภาพบรรยากาศความมุ่งมั่นตั้งใจให้บริการด้านการแพทย์แก่ผู้ป่วย อาสาสมัครฉือจี้รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่คณะผู้บริหารจากบริษัท อสมท จำกัด(มหาชน) เดินทางมาเยี่ยมเยียนมูลนิธิฯ
▲อาสาสมัครฉือจี้อาศัยบุญสัมพันธ์อันดีที่ผู้บริหารบริษัท อสมท จำกัด(มหาชน) มาเยี่ยมเยียนมูลนิธิฯ นำชมการดำเนินกิจกรรมบริการชุมชน รักษาพยาบาลฟรี
ก่อนร่วมพูดคุยกับแขกผู้มีเกียรติในห้องรับรอง อาสาสมัครฉือจี้คุณไช่ลี่กาน และคุณธิติมา รัตนาภิรัต นำแขกผู้มีเกียรติเยี่ยมชมกิจกรรมบริการชุมชน รักษาพยาบาลฟรี อีกทั้งบอกเล่าถึงกิจกรรมต่างๆของมูลนิธิฯ เนื่องด้วยทราบว่า ทางคณะฯต้องการเข้าใจถึงจิตวิญญาณและแนวทางการทำงานของสถานีโทรทัศน์ต้าอ้าย ดังนั้น เมื่อเข้าสู่ห้องรับรองแล้ว อาสาสมัครฉือจี้คุณกวิชช์ ธรรมิสร จึงเปิดตัวอย่างละครของสถานีโทรทัศน์ต้าอ้ายเรื่อง “ลูกเนรคุณ” ให้ทุกท่านรับชม จากนั้นยังแบ่งปันถึงรูปแบบและวิธีการนำเสนอ “ความจริง ความดี ความงาม” ของสถานีโทรทัศน์ต้าอ้าย ซึ่งไม่เพียงทำให้ผู้คนรู้สึกซาบซึ้งใจ หากยังจุดประกายความดีงามในจิตใจของผู้คนอีกด้วย
▲ คุณกวิชช์ ธรรมิสร (ผู้ที่กำลังยืน ซ้าย1) แบ่งปันจิตวิญญาณและแนวทางการดำเนินงานของสถานีโทรทัศน์ต้าอ้าย แก่คณะผู้เยี่ยมชมจากบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)
จากการแบ่งปันของอาสาสมัครฉือจี้ ทำให้คุณเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด(มหาชน) มีแนวคิดความร่วมมือระหว่างสององค์กร คุณเขมทัตต์ แบ่งปันว่า “อย่างน้อยเราก็อยากได้คอนเทนต์ไปฉายออกอากาศให้ในช่องเด็กแฟมิลี่ หรือช่อง 30 อะไรก็แล้วแต่ เพื่อจะจรรโลงสังคม ส่วนที่สอง เราอาจจะไปดูไอเดียบางอย่างมาประยุกต์ใช้ เพราะถ้าเราแค่นำรายการมาออกอากาศมันอาจจะยังไม่ใช่ เราต้องลงมือทำ”
▲จากการแบ่งปันของอาสาสมัครฉือจี้ ทำให้คุณเขมทัตต์ พลเดช (ผู้กำลังยืน ขวา 1) กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด(มหาชน) มีแนวคิดความร่วมมือระหว่างสององค์กร
เผยแพร่เรื่องราวพุทธฉือจี้แก่องค์กรภายนอก บ่มเพาะผู้บันทึกความจริงอันดีงามภายในองค์กร
นอกจากแบ่งปันเรื่องราวของ “ความจริง ความดี ความงาม” ของมูลนิธิพุทธฉือจี้แก่องค์กรภายนอกแล้ว ในระหว่างที่ดำเนินกิจกรรมบริการชุมชน รักษาพยาบาลฟรี อาสาสมัครยังเสาะหาคนที่มีความรู้ความสามารถผ่านกลุ่มล่ามแปลภาษา โดยเกือบ 3 ปีของการจัดกิจกรรม อาสาสมัครทราบว่า ล่ามแปลภาษาหลายคนมีประสบการณ์ด้านสื่อมวลชน เช่น การถ่ายภาพ การถ่ายวีดีโอ เป็นต้น ดังนั้น เมื่อคนเหล่านี้มาสมัครเป็นล่ามแปลภาษา อาสาสมัครจะจัดสรรให้มาช่วยบันทึกประวัติศาสตร์แห่งความรักอันยิ่งใหญ่ ในงานบันทึกความจริงอันดีงาม ทั้งนี้ เพื่อให้พวกเขามีส่วนร่วมในกิจกรรมไปในขณะเดียวกัน
▲ คุณบุษรา สมบัติ (จากขวา 2) พนักงานฝ่ายวารสาร กำลังอธิบายถึงเรื่องราวและบุคคลที่ต้องการถ่ายทำแก่ผู้ลี้ภัยที่มาช่วยงานบันทึกความจริงอันดีงาม
กิจกรรมบริการชุมชน รักษาพยาบาลฟรีในวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา คุณอาเมร์ อิลยัส คุณคาซีฟ อาห์หมัด และคุณอาเมร์ โคฮูรี ถูกจัดสรรจากกลุ่มล่ามแปลภาษามาช่วยงานบันทึกความจริงอันดีงาม ทั้งสามเดินทางมาถึงตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากลงทะเบียนร่วมกิจกรรมแล้ว พวกเขาก็มุ่งมายังฝ่ายสื่อประชาสัมพันธ์ เพื่อจัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งรับฟังแนวทางของเรื่องราวหรือบุคคลที่ต้องการนำเสนอ ด้วยความเป็นมืออาชีพด้านสื่อมวลชนมาก่อนอยู่แล้ว เพียงฟังคำอธิบายนิดๆหน่อยๆ พวกเขาก็เข้าใจถึงลักษณะงาน และเริ่มลงมีบันทึกเรื่องราวต่างๆ โดยคนหนึ่งใช้กล้องบันทึกภาพเคลื่อนไหวต่างๆ อีกคนหนึ่งก็ช่วยจดบันทึกเรื่องราวอันน่าประทับใจลงในสมุด ยิ่งเมื่อมีอาสมัครและพนักงานคอยดูแลคอยเคียงข้าง ก็ยิ่งเห็นถึงความร่วมแรงร่วมใจของทีมทำงาน
▲ผู้ลี้ภัยที่มาช่วยงานบันทึกความจริงอันดีงาม เข้าใจลักษณะการทำงานอย่างรวดเร็ว คนหนึ่งใช้กล้องบันทึกภาพเคลื่อนไหว อีกคนหนึ่งก็ช่วยถือไมค์สัมภาษณ์บุคคล
เรียนรู้ทักษะหลากหลายด้าน จากงานบันทึกความจริงอันดีงาม
คุณอาเมร์ อิลยัส ร่วมทำงานบันทึกความจริงอันดีงาม ในกิจกรรมบริการชุมชน รักษาพยาบาลฟรีตั้งแต่ 22 มกราคม 2560 คุณอาเมร์เล่าว่า ชีวิตความเป็นอยู่ในเมืองไทยของเขาและครอบครัวเต็มไปด้วยความกังวลและความหวาดกลัว เพราะด้วยสถานะผู้ลี้ภัย ทำให้พวกเขามักจะกลัวถูกตำรวจจับกุมเวลาออกไปข้างนอก และไม่มีสิทธิ์ทำงานหาเลี้ยงครอบครัวอย่างถูกกฎหมายได้
▲ งานผู้บันทึกความจริงอันดีงาม ทำให้คุณอาเมร์ อิลยัส ได้เรียนรู้การตัดต่อวีดีโอไปในขณะเดียวกัน
ฉะนั้น การมาทำงานเป็นผู้บันทึกความจริงอันดีงามในกิจกรรมบริการชุมชน รักษาพยาบาลฟรีเดือนละ 1 วัน ได้รับค่าตอบแทน 800-900 บาท และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัครฉือจี้คอยบริการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดในสถานธรรมจิ้งซือแห่งนี้ จึงทำให้เขารู้สึกได้ถึงความอุ่นใจ คุณอาเมร์แบ่งปันว่า “ผมดีใจและรู้สึกยินดีที่มาทำงานที่มูลนิธิพุทธฉือจี้ เพราะมันเป็นเวลา 1 วันใน 1 เดือน ที่เราได้สัมผัสถึงความปลอดภัย และยังมีรายได้จากการมาทำงานอีกด้วยครับ”
เกือบ 10 ครั้ง ที่ทำงานเป็นผู้บันทึกความจริงอันดีงามนั้น ยังทำให้เขาได้แสดงออกถึงศักยภาพของตนเอง คุณอาเมร์แบ่งปันว่า “ตอนที่ผมอยู่ปากีสถาน ผมเป็นแค่ช่างภาพมืออาชีพ แต่การทำงานในฝ่ายบันทึกความจริงอันดีงาม ผมยังได้เรียนรู้งานอีกหลากหลายด้าน เช่น การตัดต่อวีดีโอ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีประโยชน์ต่อตัวผมมากครับ”
▲ คุณคาซีฟ อาห์หมัด(จากซ้าย1)นำประสบการณ์การทำงาน 10 ปีกับ 2 บริษัทเมื่อครั้งอาศัยอยู่ปากีสถานบ้านเกิด ประยุกต์ใช้ในการจดบันทึกกิจกรรม
ทุกคนมีความสามารถไร้ชีดจำกัด เพียงแค่มีความตั้งใจ ก็เป็นมืออาชีพได้
สิงหาคม 2556 คุณคาซีฟ อาห์หมัด พาภรรยาและลูกชายอพยพมายังเมืองไทย ด้วยความมุ่งมั่นไม่เคยย่อท้อ เขาเริ่มเรียนภาษาไทยในสถาบันสอนภาษาตั้งแต่มาอาศัยอยู่เมืองไทยในช่วงแรกเริ่ม และเปิดใจเรียนรู้วัฒนธรรมไทยในชีวิตประจำวัน ด้วยความที่เขามีทักษะด้านภาษาอังกฤษดีพอสมควร หลังจากที่เขาเรียนภาษาไทยเป็นเวลา 2 เดือน จนสามารถสื่อสารภาษาไทยได้ ก็เริ่มมีเด็กๆมาเรียนภาษาอังกฤษกับเขาเรื่อยๆ ซึ่งรายได้จากการสอนภาษาอังกฤษในตอนนั้น สามารถเลี้ยงชีพเขาและครอบครัวได้เป็นอย่างดี แต่เพื่ออนาคตที่ดีกว่า เขาจึงไม่หยุดพัฒนาตนเอง คุณคาซีฟเรียนกราฟฟิคดีไซน์เพิ่มเติม ทำให้ปัจจุบันเขาสามารถหางานจากอินเตอร์เน็ต ทำงานได้ทุกที่ ทุกเวลา และรายได้ก็เริ่มมั่นคงมากขึ้นเช่นกัน
แม้ว่า ชีวิตความเป็นอยู่ของคุณอาซีฟในปัจจุบัน ไม่ได้ขัดสนในเรื่องการเงินเหมือนผู้ลี้ภัยคนอื่นๆ และเขาก็ไม่ได้มีพื้นฐานในงานด้านสื่อมวลชนมาก่อน ทว่า เขายังคงมุ่งมั่นตั้งใจ นำประสบการณ์การทำงาน 10 ปีกับ 2 บริษัทเมื่อครั้งอาศัยอยู่ปากีสถานบ้านเกิด ประยุกต์ใช้ในการจดบันทึกกิจกรรม คุณคาซีฟ แบ่งปันความรู้สึกว่า “ขอบคุณมูลนิธิพุทธฉือจี้ที่ให้โอกาสผมมาทำงานที่นี่ ทำให้ผมได้มีโอกาสทำเพื่อผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ ขอบคุณครับ”
▲หลังสิ้นสุดกิจกรรม อาสาสมัครฉือจี้ พนักงาน และผู้ลี้ภัยที่มาช่วยงานบันทึกความจริงอันดีงาม ร่วมพูดคุยถึงหัวข้อที่จะนำเสนอและถ่ายทำในครั้งต่อไป
มุ่งมั่นตั้งใจในงานที่ตนเองรัก
ยังมีทีมทำงานฝ่ายบันทึกความจริงอันดีงามอีกคนหนึ่ง คือ คุณอาเมร์ โคฮูรี ลี้ภัยมาจากปากีสถานเช่นเดียวกัน มีสมาชิกในครอบครัว 3 คน ได้แก่ ภรรยา ลูกสาวและตัวเขาเอง อาเมร์และครอบครัวอาศัยอยู่ในเมืองไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2557 ระยะเวลา 3 ปีที่เขาและครอบครัวอาศัยในเมืองไทย มีชีวิตความเป็นอยู่ลำบากมากมาย แม้ว่าตอนที่อาศัยอยู่ในปากีสถาน เขาจะเป็นช่างภาพมืออาชีพคนหนึ่ง ทว่า เมื่อมาอาศัยในต่างถิ่นฐานบ้านเกิดเช่นนี้ เขาแทบจะไม่ได้รับโอกาสการทำงานเลย ฉะนั้น เมื่อมีโอกาสในการทำงาน เขาจะต้องรีบไขว่คว้าไว้
โชคยังเข้าข้าง คุณอาเมร์หางานได้ในที่สุด ซึ่งเป็นงานโรงงาน ทำงานเดือนละ 1-2 สัปดาห์ อาเมร์เล่าว่า แม้จะเป็นงานหนัก ค่าแรงต่ำ ต้องทำงานวันละ 12 ชั่วโมง จึงจะได้รับค่าแรงวันละ 200 บาท และเสี่ยงกับการถูกตำรวจจับ แต่เพื่อปากท้องของครอบครัว เขาจึงต้องอดทนเรื่อยมา
บุญสัมพันธ์สุกงอม 29 ตุลาคมที่ผ่านมา คุณอาเมร์มาร่วมทำงานบันทึกความจริงอันดีงาม ในกิจกรรมบริการชุมชน รักษาพยาบาลเป็นครั้งที่ 2 แม้จะเป็นโอกาสการทำงานด้านสื่อมวลชนเพียงแค่เดือนละหนึ่งวัน แต่สำหรับอาเมร์แล้ว มันคือช่วงเวลาที่มีคุณค่าของเขา คุณอาเมร์แบ่งปันความรู้สึกว่า “ผมรู้สึกดีใจมากที่มีโอกาสมาร่วมกิจกรรมของมูลนิธพุทธฉือจี้ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างจากที่ผมเคยทำงานเป็นช่างภาพที่ปากีสถาน เพราะที่นี่ทำให้ผมมีโอกาสเรียนรู้ และผมก็ดีใจมากที่ได้ทำงานช่างภาพอีกครั้ง เพราะมันเป็นงานที่ผมรัก ขอบคุณมูลนิธิพุทธฉือจี้ที่ให้โอกาสผมครับ”
เรื่อง ดรรชนี สุระเทพ ภาพ พิณญ์ธิชา จันทร์สุขศรี , ดรรชนี สุระเทพ