วันที่ 1 ตุลาคม 2567 คุณหยางกั๋วเหลียง ผู้อำนวยการศูนย์สเต็มเซลล์ฉือจี้ พร้อมด้วยคุณหลิวเจินเจิน เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ ได้เดินทางมายังศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เพื่อรับสเต็มเซลล์จากผู้บริจาคในประเทศไทย นำกลับไปช่วยเหลือผู้ป่วยในไต้หวัน
การเดินทางครั้งนี้พิเศษเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากพายุไต้ฝุ่นกระท้อนกำลังจะเข้าไต้หวัน ทำให้ต้องเผชิญความท้าทายมากมาย ทั้งเรื่องการเดินทาง ทั้งรถไฟที่อาจจะล่าช้าและเที่ยวบินที่อาจจะถูกยกเลิก โดยปัญหาเหล่านี้ อาจจะกระทบทำให้การขนส่งไขกระดูกล่าช้าได้
เพื่อป้องกันผลกระทบจากปัญหาด้านสภาพอากาศและการคมนาคมขัดขวาง ทั้งสองจึงออกเดินทางล่วงหน้า โดยมาถึงไทยตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน
คุณหยางกั๋วเหลียง ผู้อำนวยการศูนย์สเต็มเซลล์ฉือจี้ และคุณหลิวเจินเจิน เดินทางไปยังธนาคารเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต
เพื่อให้มั่นใจว่าการขนส่งครั้งนี้จะไม่ถูกขัดขวางจากสภาพอากาศและปัญหาการเดินทาง คุณหยางกั๋วเหลียงและนางสาวหลิวจึงตัดสินใจออกเดินทางล่วงหน้า โดยมาถึงประเทศไทยตั้งแต่เย็นวันที่ 30 กันยายน และในคืนวันที่ 1 ตุลาคม หลังจากได้รับสเต็มเซลล์แล้ว ก็รีบปรับเปลี่ยนแผนการบินเพื่อกลับไต้หวันทันที
การเดินทางครั้งนี้เหมือนต้องแข่งขันกับเวลา พายุไต้ฝุ่น และอุณหภูมิการเก็บรักษาสเต็มเซลล์ พวกเขาต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจ เพื่อให้เสต็มเซลล์เดินทางถึงไต้หวันโดยสวัสดิภาพ มอบโอกาสในการมีชีวิตใหม่ให้ผู้ป่วยที่รอรับการการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์
กล่องเก็บรักษาสเต็มเซลล์รุ่นใหม่ล่าสุดที่ศูนย์สเต็มเซลล์ฉือจี้เพิ่งพัฒนาขึ้น
คุณหยางกั๋วเหลียง ผู้อำนวยการศูนย์สเต็มเซลล์ฉือจี้ บอกเล่าถึงรูปแบบการขนส่งในอดีตว่า "เมื่อก่อนเรามักจะออกไปส่งสเต็มเซลล์ตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งก็เป็นเซลล์จากไขกระดูก โดยวิธีการขนส่งก็ค่อนข้างเรียบง่าย แค่ใช้ไอซ์แพ็คเก็บรักษาความเย็นไว้ในอุณหภูมิไม่เกิน 10-15 องศา ภายในระยะเวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง"
โดยได้เล่าถึงความแตกต่างของภารกิจในครั้งนี้คือ "ครั้งนี้เรามารับสเต็มเซลล์จากกระแสเลือด (PBSC) ซึ่งกำหนดให้ต้องเก็บรักษาไว้ในอุณหภูมิระหว่าง 2-8 องศาเซลเซียส ทำให้การขนส่งต้องเข้มงวดมากขึ้น" นอกจากนี้ คุณหยางกั๋วเหลียงยังอธิบายอีกว่า การบริจาคสเต็มเซลล์จากกระแสเลือด (PBSC) นั้น สะดวกต่อผู้บริจาคมากกว่าการบริจาคไขกระดูกในอดีต "การบริจาคสเต็มเซลล์จากกระแสเลือด (PBSC) ไม่ต้องผ่าตัดหรือวางยาสลบ วิธีนี้ไม่เพียงสะดวกต่อผู้บริจาค แต่ยังทำให้ได้สเต็มเซลล์ในปริมาณและความเข้มข้นที่มากกว่าด้วย"
ภารกิจครั้งนี้เป็นความท้าทายใหม่สำหรับศูนย์สเต็มเซลล์ฉือจี้ ไม่เพียงเพราะเป็นครั้งแรกของการเดินทางไปรับสเต็มเซลล์ในต่างประเทศ แต่ยังเป็นครั้งแรกที่ใช้กล่องเก็บรักษาสเต็มเซลล์รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งพัฒนาขึ้ โดยกล่องดังกล่าวแตกต่างจากอุปกรณ์แบบดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากมีระบบ GPS และระบบควบคุมอุณหภูมิที่สามารถตรวจสอบได้ผ่านมือถือ หากอุณหภูมิเกิดความผิดปกติ ทีมเทคนิคในไต้หวันจะได้รับแจ้งเตือนทันที และจะติดต่อผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ เพื่อให้ตรวจสอบสถานะของกล่อง ทำให้มั่นใจได้ว่าสเต็มเซลล์จะถูกจัดส่งมาในสภาพที่ดีที่สุด
คุณหยางกั๋วเหลียง ผู้อำนวยการศูนย์สเต็มเซลล์ฉือจี้ กล่าวว่า "พวกเราเดินทางฝ่าพายุที่กำลังจะเข้าไต้หวันมาที่ประเทศไทย เป้าหมายหลักของภารกิจในครั้งนี้ ก็เพื่อมารับสเต็มเซลล์จากผู้บริจาคกลับไปช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเลือดที่กำลังรอรับการปลูกถ่ายในไต้หวัน”
คุณภาวิณี คุปตวินทุ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย อธิบายถึงความสำคัญของการร่วมลงทะเบียนเป็นอาสาสมัครบริจาคสเต็มเซลล์ว่า “ ยิ่งมีอาสาสมัครบริจาคสเต็มเซลล์มากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งมีโอกาสช่วยเหลือผู้ป่วยได้มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่แค่ผู้ป่วยในประเทศไทยเท่านั้น ยังรวมถึงผู้ป่วยทั่วทั้งโลก อย่างเช่นที่ไต้หวันก็เป็นเคสหนึ่งที่เราพบผู้บริจาคชาวไทย การที่เราสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยในไต้หวันได้ ทำให้รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ”
“เป็นเวลาเกินห้าปีแล้ว ครั้งนี้เป็นเคสแรกที่ผู้บริจาคของเราได้บริจาคเพื่อช่วยชีวิตคนป่วยของไต้หวัน รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง และอยากจะเชิญชวนให้มาร่วมกันลงทะเบียนเป็นอาสาสมัครบริจาคสเต็มเซลล์กันให้มากขึ้นค่ะ” คุณวิภาวรรณ ภมร นักเทคนิคการแพทย์ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทยกล่าว
ท่ามกลางความกดดันจากพายุไต้ฝุ่นที่กำลังจะเข้าไต้หวัน คุณหยางกั๋วเหลียง แบกรับภาระอันหนักอึ้ง ทุกนาทีมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะต้องแข่งขันกับเวลา พายุและอุณหภูมิ เพื่อให้แน่ใจว่าสเต็มเซลล์จะถูกส่งไปถึงไต้หวันได้อย่างปลอดภัยและทันเวลา อีกทั้งวันดังกล่าวยังเป็นวันที่พิเศษ เพราะตรงกับวันเกิดครบรอบ 78 ปีของคุณหยางกั๋วเหลียง แม้จะเป็นวันพิเศษของตน แต่ก็ยังเลือกทำภารกิจเพื่อช่วยชีวิตคน ด้วยจิตวิญญาณแห่งการเสียสละ ทำให้วันเกิดครั้งนี้ไม่เพียงเป็นแทนความหมายของการเติบโต แต่ยังเป็นคำอวยพรเพื่อสานต่อชีวิตให้ยืนยาวอีกด้วย
เรื่อง บุษรา สมบัติ
ภาพ บุษรา สมบัติ