ก้าวผ่านคำว่า “หน้าที่” ทำความดีด้วย “หัวใจ”
“เขาพูดกันว่าหมอ พยาบาล เป็นดั่งพระโพธิสัตว์ ทำบุญมาเยอะ ตอนนั้นเราก็ยังรู้สึกเฉยๆ เพราะมันเป็นงาน เป็นอาชีพ เราเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เดิมทีดิฉันเป็นพยาบาลทำงานอยู่ห้อง ผ่าตัด โอกาสไปคลุกคลีกับคนไข้ไม่ค่อยทีเลย คนไข้มา ผ่าตัดเสร็จก็ส่งกลับ อย่างดีก็เยี่ยมอาการคนไข้หลังผ่าตัดนิดหน่อย”
แม้จะมีอาชีพเป็นพยาบาล หนึ่งในอาชีพที่ผู้คนมักขนานนามว่า “อาชีพแห่งการทำความดี” สามารถช่วยเหลือชีวิตผู้อื่นได้ในขณะที่ทำงาน ทว่า เมื่อแรกเริ่มคุณสุพัตรา แตงฮ้อ กลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น เพราะคิดเพียงว่า “ทำเพราะหน้าที่”
คุณสุพัตราเป็นคนที่ชอบทำบุญ หมั่นปฏิบัติธรรมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงได้รับความไว้วางใจให้ช่วยงานเลขาชมรมจริยธรรมโรงพยาบาลโพธาราม และด้วยหน้าที่นี้จึงเป็นมูลเหตุทำให้คุณสุพัตราได้รู้จักมูลนิธิพุทธฉือจี้ เมื่อครั้งหนึ่ง นพ.สมบูรณ์ นันทานิช ซึ่งดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลโพธาราม และประธานชมรมจริยธรรมโรงพยาบาลโพธารามในขณะนั้น ได้เชิญชวนอาสาสมัครฉือจี้ คุณสุชน แซ่เฮง แบ่งปันเรื่องราวของมูลนิธิพุทธฉือจี้แก่บุคลากรและเจ้าหน้าที่ “เราก็เคลือบแคลงสงสัย เพราะว่าเราไม่เคยรู้จักมูลนิธิพุทธฉือจี้มาก่อน และเราก็รู้ว่ามาไต้หวันจะมีลัทธิอะไรเยอะมาก เราก็กลัวว่าจะเป็นลัทธิอะไรที่มาหลอกลวงเราหรือเปล่า” คุณสุพัตรา แบ่งปันความรู้สึกที่ได้รู้จักกับฉือจี้เมื่อครั้งแรกเริ่ม
แม้ครั้งแรกที่ได้รู้จักกับฉือจี้จะเต็มไปด้วยความคลางแคลงสงสัยภายในจิตใจ ทว่าด้วยหน้าที่ของเลขาชมรมจริยธรรม จึงทำให้คุณสุพัตราจำเป็นต้องเข้าร่วมกิจกรรมของฉือจี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การเข้าร่วมกิจกรรมฉือจี้อยู่บ่อยครั้ง ทำให้คุณสุพัตราค่อยๆเข้าใจแนวคิดของพุทธฉือจี้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงพื้นที่เยี่ยมเยียนดูแลครอบครัวผู้ยากไร้ในชุมชนด้วยตนเอง เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า มูลนิธิพุทธฉือจี้ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณสุพัตราคิดไว้ เพราะงานมหาปณิธานสี่ แปดรอยธรรมของฉือจี้ เป็นสิ่งที่คุณสุพัตราอยากจะทำอยู่แล้ว “แต่ก่อนเราก็จะนั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรมให้ตัวเราหลุดพ้น แต่ฉือจี้ทำเพื่อมวลชน ให้เราได้ช่วยเหลือผู้คน ฉีกแนวไปจากที่เราเคยรู้”
เมื่อประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง จึงมั่นใจเดินบนวิถีโพธิสัตว์ฉือจี้ คุณสุพัตราตัดสินใจเข้าร่วมชั้นเรียนอบรมอาสาสมัครฉือจี้เมื่อ พ.ศ. 2551 และผ่านการรับรองวุฒิกรรมการฉือจี้จากท่านธรรมาจารย์เมื่อ พ.ศ.2553
คติประจำตัวของคุณสุพัตรา คือ “คิดดี พูดดี ทำดี” อาจจะเป็นคติที่สั้นๆ แต่คุณสุพัตราให้ความเห็นว่ามิใช่เรื่องที่ง่ายเลยในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะความคิด อันเป็นจุดเริ่มต้นของการพูดและการกระทำ คุณสุพัตรายังเล่าอีกว่า แต่ก่อนตนเป็นคนอารมณ์ร้อน ในการทำงานห้องผ่าตัด ซึ่งจำเป็นต้องมีความละเอียดรอบคอบในการทำงานสูง หากมีเพื่อนร่วมงานคนใดไม่ตั้งใจทำงาน หรือทำงานด้วยความประมาทเลินเล่อ คุณสุพัตราก็จะกล่าวตักเตือนทันทีด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แต่หลังจากเข้าสู่ครอบครัวแห่งรักของฉือจี้แล้ว คุณสุพัตรามักจะคอยระวังความคิดของตนเองอยู่เสมอ เรียนรู้การตักเตือนด้วยความรัก คิดก่อนพูด ใช้ถ้อยคำน่าฟัง แสดงท่าทีอ่อนโยนกล่าวตักเตือนผู้ร่วมงานด้วยความปรารถนาดี
ในชีวิตที่ต้องพบเจอกับหลากหลายผู้คน หลากหลายเรื่องราว หลากหลายปัญหา อาจจะทำให้การ “คิดดี พูดี ทำดี”ของคุณสุพัตราไม่เป็นดั่งที่คาดคิดไว้ แต่คุณสุพัตรายังคงคิดในแง่บวกอยู่เสมอว่า ทุกอย่างล้วนเป็นบททดสอบที่ท้าทาย “ทำฉือจี้เหมือนการเรียนธรรมะ ได้สัมผัสคนหนึ่งคน ก็เปรียบเหมือนได้เรียนรู้พระธรรมหนึ่งบท หากเราทำจิตอาสาแล้วมีความสุข ถือว่าประสบความสำเร็จ”
ประจักษ์แจ้งในวิถีโพธิสัตว์ มุ่งมั่นสร้างสังคมดี
9 ปีที่อยู่ในครอบครัวแห่งรักของฉือจี้ คุณสุพัตราค่อยๆเข้าใจในคำกล่าวที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้วว่า “พระโพธิสัตว์เป็นดั่งอาชีพของพระโพธิสัตว์”จริงๆ เพียงแค่เติมความตั้งใจลงไปในอาชีพแห่งการความดีนี้ ก็เหมือนเป็นการช่วยรักษาโรค รักษาคน รักษาจิตใจให้ผู้ป่วย เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านการแพทย์อย่างครบวงจร และเมื่อได้ลงพื้นที่สู่ชุมชน ยังได้ใช้ความรู้ ความสามารถตนดูแลช่วยเหลือผู้ยากไร้ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานจิตอาสา “พอมาเข้าฉือจี้ เรามีความรู้สึกว่า การที่เราเป็นหมอ เป็นพยาบาล ทำให้สามารถมีบทบาทในการช่วยเหลือผู้อื่นได้มากกว่า” คุณสุพัตราแบ่งปัน
ปัจจุบันคุณสุพัตรา แตงฮ้อ ทำงานเป็นพยาบาลวิชาชีพในห้องผ่าตัด โรงพยาบาลโพธาราม อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ซึ่งมีภาระงานมากมายขึ้นทุกวัน ทว่า คุณสุพัตรายังคมจัดสรรเวลา ใช้เวลาว่างมาร่วมกิจกรรมฉือจี้ มุ่งเดินบนวิถีพระโพธิสัตว์ เพื่อเป็นศิษย์ที่ดีของท่านธรรมาจารย์ ร่วมทำประโยชน์แก่มวลชน สร้างสังคมให้ร่มเย็น คุณสุพัตรา แบ่งปันว่า “ดิฉันก็ตั้งปณิธานว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้จิตอาสาในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น เพราะว่า หากเรามีคนดีเพิ่มขึ้น 1 คน ก็จะทำให้เกิดความดีในครอบครัว ชุมชน หมู่บ้าน และประเทศ ถ้าเรามีคนทำความดีเยอะๆ ประเทศไทยเราก็จะดีกว่านี้”
พ.ศ.2551 ตัดสินใจเข้าร่วมชั้นเรียนอบรมกรรมการฉือจี้
การลงพื้นที่เยี่ยมเยียนดูแลครอบครัวผู้ยากไร้ในชุมชนด้วยตนเอง เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า
มูลนิธิพุทธฉือจี้ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้ เพราะงานมหาปณิธานสี่ แปดรอยธรรมของฉือจี้ เป็นสิ่งที่อยากจะทำอยู่แล้ว
แม้จะมีภาระงานมากมาย ทว่ายังคมจัดสรรเวลา ใช้เวลาว่างมาร่วมกิจกรรมฉือจี้ มาช่วยกิจกรรมบริการชุมชน รักษาพยาบาลฟรีในทุกๆเดือน
นำคนหนุ่มสาวสัมผัสประสบการณ์ “เห็นทุกข์ รู้บุญ” หวังให้สังคมไทยมีคนดีเพิ่มมากขึ้น เพื่อร่วมทำประโยชน์แก่มวลชน สร้างสังคมให้ร่มเย็น
เรื่อง ดรรชนี สุระเทพ ภาพ จรรยาพร เข้มแข็ง | พิณญ์ธิชา จันทร์สุขศรี