กินง่ายอยู่ง่าย สุขใจไร้โรคภัย

 20200524 coverCOMPRESS

“ตอนเริ่มต้น ฉันกำหนดว่าจะกินทุกวันพระ แต่พอถึงวันพระ ก็มีเหตุจำเป็นให้ต้องรับรองลูกค้าหรือแขกที่มาเยี่ยม จึงต้องเลื่อนไปกินในวันอื่น เป็นแบบนี้อยู่ช่วงหนึ่ง จนฉันคิดว่า หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ฉันคงกินมังสวิรัติไม่สำเร็จแน่ๆ จึงตัดสินใจว่า ถ้าอย่างนั้นก็กินทุกวันเลยแล้วกัน” จิตอาสาฉือจี้ คุณมนทิรา ติยะวัชรพงศ์ บอกเล่าเสียงแห่งความมุ่งมั่นในจิตใจของตนเมื่อปี พ.ศ.2522 หลังจากตัดสินใจจะรับประทานอาหารมังสวิรัติ ในวัยเพียง 32 ปี

 

 

ลดละเลิกเนื้อสัตว์ ยืนหยัดกินมังสวิรัติ

เมื่อ 40 กว่าปีก่อน ตอนที่คุณมนทิรา ติยะวัชรพงศ์ เริ่มรับประทานอาหารมังสวิรัติ อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ เป็นเมนูที่หารับประทานได้ยากในเมืองไทย ทำให้คุณมนทิรามักวิตกว่า ตนเองจะขาดสารอาหาร จนถึงขั้นไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล แต่เพื่อนก็ได้เตือนสติคุณมนทิราว่า นี่คือการหาข้ออ้างเพื่อกลับไปกินเนื้อสัตว์ คุณมนทิรากล่าวว่า “เพื่อนพูดกับฉันว่า เพราะใจเธอยังอยากกินเนื้ออยู่ ถึงได้วิตกอย่างนี้ เมื่อได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้น ทำให้ฉันมีแรงฮึด และตัดสินใจแน่วแน่เลยว่า จะต้องกินมังสวิรัติให้สำเร็จ สุดท้ายฉันก็สามารถกินต่อเนื่องมาได้จนถึงทุกวันนี้ค่ะ”

แม้จะมีความมุ่งมั่น แต่เส้นทางการละเว้นจากเนื้อสัตว์ของคุณมนทิรา ก็ไม่ได้ราบรื่นนัก เพราะในช่วงแรก สมาชิกในครอบครัวต่างก็ไม่ให้การสนับสนุน คุณมนทิราเล่าว่า “ตอนนั้น สามีไม่ยอมพาฉันออกงานเลยค่ะ เพราะเขารู้สึกว่า ไม่ว่ากินอะไรกับฉันก็ไม่อร่อย ลูกๆ เองก็ไม่ค่อยยินดีเท่าไร กลายเป็นไม่ยอมกินข้าวกับฉัน หนีไปกินกับคุณย่าเสมอ หรือบางทีที่ต้องออกไปกินข้าวนอกบ้านกันทั้งครอบครัว ทุกคนก็ไม่ค่อยใส่ใจฉันเท่าไรค่ะ ในเมื่อมีฉันคนเดียวที่ไม่กินเนื้อ ก็ให้ฉันสั่งกับข้าวมากินเองคนเดียว บางทีที่ฉันใช้ตะเกียบคีบอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ให้ลูกๆ พวกเขาเองก็บอกว่า จะคีบให้ทำไม ในเมื่อตัวฉันเองไม่ได้กิน ไม่รู้ว่าอร่อยหรือเปล่า แล้วยังจะคีบให้พวกเขาอีก ผู้ใหญ่ในบ้านก็มีทัศนคติไม่ดีต่อคนที่กินมังสวิรัติ เพราะติดภาพว่าเป็นคนที่ชอบติติงผู้อื่น” แม้ในตอนนั้น คนในครอบครัวต่างก็เฉยชา กับการที่คุณมนทิราหันมารับประทานอาหารมังสวิรัติ แต่เพราะตระหนักในสัจธรรม “ความเท่าเทียมกันของทุกชีวิต” ทำให้คุณมนทิรายืนหยัดในการละเว้นจากการรับประทานเนื้อสัตว์มาอย่างต่อเนื่อง

คุณมนทิรายังเล่าต่อว่า เพื่อทำให้ความตั้งใจของตนเองบรรลุผล บางครั้งเมื่อไม่มีกับข้าวที่เป็นมังสวิรัติจริงๆ ก็ยินดีที่จะรับประทานเพียงข้าวเปล่า นี่คือความมุ่งมั่นหนึ่งของคุณมนทิรา “ตอนนั้นแม้ยังอยากจะกินเนื้อสัตว์อยู่บ้าง แต่ฉันก็ไม่กล้ากินค่ะ มีครั้งหนึ่งเพื่อนพาไปที่ร้านอาหารทะเล แล้วก็ถามฉันว่า เนื้อสัตว์อันนี้ต้องปรุงอย่างไร ฉันก็แนะนำว่าให้เอาไปนึ่ง พอกลับไปบ้าน คืนนั้นฉันก็ฝันร้ายว่าสัตว์ตัวนั้นมาหาฉันตลอดทั้งคืน ฉันจึงบอกกับเพื่อนว่า ต่อไปถ้าจะปรุงอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ ขอร้องไม่ต้องมาปรึกษาฉันอีก” คุณมนทิราเล่าถึงความรู้สึกของตนเอง ระหว่างเส้นทางของการรับประทานมังสวิรัติ

 

20121022-2696-byxiaolian

 จิตอาสาฉือจี้ คุณมนทิรา ติยะวัชรพงศ์ (คนแรกจากขวา) ร่วมกิจกรรมบริการอาหารเจให้กับผู้ที่สนใจ ในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจ ที่บริเวณหน้าบ้านของตน

 

เริ่มต้นจากตัวเอง เป็นแรงบันดาลใจให้คนรอบข้าง

เนื่องจากสามี คุณสุรสิทธิ์ ติยะวัชรพงศ์ สูญเสียมารดาไปในปี พ.ศ.2543 ด้วยความกตัญญูที่ต้องการบำเพ็ญกุศลบุญให้แก่มารดาที่ล่วงลับ คุณสุรสิทธิ์จึงมีความประสงค์ จะบริการอาหารเจให้กับผู้ที่สนใจ ในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจ ที่บริเวณหน้าบ้านของตน “เมื่อสามีมาบอกฉันว่า เขาอยากจัดกิจกรรมแบบนี้ ฉันก็บอกเขาว่ามันยากนะ คนเยอะแยะขนาดนี้ จะไปล้างถ้วยชามได้ทันหรือ แต่ช่วงนั้นฉันก็มีโอกาสได้ไปเรียนรู้ตามวัดต่างๆ จนสามีให้ฉันรับผิดชอบโซนล้างถ้วยชามค่ะ ก็คือคนไหนกินคนนั้นก็ล้างถ้วยชามของตนเอง โดยจะมีน้ำเตรียมไว้ให้ 4 กะละมัง จากนั้นเราก็ใช้ผ้าสะอาดช่วยเช็ดถ้วยชามที่ล้างเสร็จแล้วให้แห้ง” คุณมนทิราบอกเล่าวิธีการทำงานเพื่อให้สำเร็จตามความตั้งใจของสามี ในช่วงถือศีลกินเจของทุกปี ทุกวันจะมีผู้มีจิตศรัทธาประมาณ 2,000 คน มาร่วมรับประทานอาหารเจ ลดการเบียดเบียนชีวิตสัตว์ต่อเนื่องนาน 9 วัน ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ละแวกใกล้เคียง ยังได้ร่วมนำอาหารเจฝีมือของตนเอง มาบริการให้กับผู้คนทั่วไป เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้คนมีส่วนร่วมในกุศลบุญครั้งนี้ นอกจากนั้น ด้วยความคิดสร้างสรรค์ของคุณสุรสิทธิ์ นอกจากจะให้ผู้ที่มาร่วมถือศีลกินเจ ได้รับความอิ่มบุญ อิ่มใจ จากการละเว้นจากการรับประทานเนื้อสัตว์แล้ว ยังได้สิทธิ์ในการจับฉลากเพื่อรับของรางวัลกลับบ้านอีกด้วย รวมถึงลูกชายและลูกสะใภ้ ยังอาศัยโอกาสนี้มอบของเล่นชิ้นใหม่เพื่อเป็นของรางวัล ผูกบุญสัมพันธ์กับชาวบ้านละแวกใกล้คียง ทำให้ช่วงเทศกาลถือศีลกินเจ เป็นช่วงที่สมาชิกในครอบครัวของคุณมนทิรา ต่างมาทำบุญร่วมกัน เพื่อผลักดันให้ผู้คนละเว้นจากการเบียดเบียนชีวิตสัตว์

คุณมนทิรา ซึ่งรับประทานอาหารมังสวิรัติต่อเนื่องมานานกว่า 40 ปี เคยแกล้งพูดลองใจกับคนอื่นว่า “ฉันเคยแกล้งพูดว่า อยากจะกลับไปกินเนื้อแล้ว ตอนนั้นเองลูกๆ ก็รีบแย้งขึ้นทันทีว่า อย่าเลยแม่ มันน่าเสียดาย เพราะแม่กินมังสวิรัติมาตั้งนานขนาดนี้แล้ว สามีเองก็บอกเหมือนกันว่า ในเมื่อกินมาได้นานถึงขนาดนี้แล้ว ก็ขอให้กินต่อไปเถิด”

 

20100709-1700-Byxiaolian

แม้ครอบครัวจะมีฐานะ แต่คุณมนทิรา ยังคงดำเนินชีวิตด้วยความสมถะ และร่วมคัดแยกสิ่งของรีไซเคิลอย่างจริงจัง 

 

รีไซเคิลของไร้ค่า คืนชีวิตให้สิ่งของนานา

คุณมนทิรา ติยะวัชรพงศ์ เข้ารับการรับรองวุฒิเป็นกรรมการฉือจี้เมื่อปี พ.ศ.2550 พร้อมทั้งเป็นกรรมการกิตติมศักดิ์ฉือจี้ แม้ครอบครัวจะมีฐานะ แต่กลับใช้ชีวิตด้วยความเรียบง่าย คุณมนทิราเล่าว่า “ตั้งแต่เด็ก ฉันก็ชอบเก็บรวบรวมสิ่งของที่ผู้คนไม่ใช้แล้ว มาทำให้เป็นสิ่งของที่มีค่า จนกระทั่งเมื่อได้รู้จักฉือจี้ ฉันก็รู้จักการรีไซเคิลมากขึ้น จึงเก็บรวบรวมพวกกระป๋องน้ำอัดลมหรือขวดต่างๆ มาขาย นำรายได้บริจาคให้ฉือจี้ค่ะ” พ.ศ.2546 คุณมนทิราได้ติดตามคณะศึกษาดูงาน ไปเยี่ยมชมฉือจี้ที่ไต้หวัน เมื่อกลับมาถึงเมืองไทย จึงได้พยายามเสาะหาสาขาของมูลนิธิพุทธฉือจี้ในเมืองไทยด้วยตัวเอง จนค้นพบและค่อยๆ เข้ามาร่วมเสียสละช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก พร้อมกับบำเพ็ญสติปัญญาของตนเองจากการศึกษาพุทธธรรม นี่คือ “การใช้ใจที่ซาบซึ้ง ผลักดันให้ลงมือทำ” พร้อมทั้งได้เรียนรู้คำสอนของท่านธรรมาจารย์เจิ้งเอี๋ยนอีกว่า แท้จริงแล้ว การรับประทานอาหารมังสวิรัติ ไม่เพียงดีต่อสุขภาพของตนเอง ไม่เบียดเบียนชีวิตสรรพสัตว์ แต่ยังดีต่อสภาพแวดล้อมโลกอีกด้วย

แม้จะมีสามีเป็นนักธุรกิจใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ แต่คุณมนทิรายังคงดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความสมถะ โดยมักจะขับรถกระบะคันเก่าเพื่อไปรับสิ่งของรีไซเคิลตามสถานที่ต่างๆ เสมอ “วันหนึ่ง ฉันสวมชุดที่คล้ายๆ พนักงานทำความสะอาด ขับรถกระบะคันเก่าที่บรรทุกสิ่งของรีไซเคิลเข้าไปที่โรงงาน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ไม่ยอมให้ฉันเข้าไป เพราะเขาเป็นคนใหม่จึงไม่รู้จักฉัน ฉันให้เขาลองโทรศัพท์ไปถามสามีซึ่งเป็นเถ้าแก่ว่า จะยอมให้ฉันเข้าไปในโรงงานได้หรือไม่ ด้วยหน้าที่เขาก็โทรฯ ไปจริงๆ จนถึงทุกวันนี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทุกคนในทุกโรงงาน ต่างก็รู้ดีว่า ภรรยาของเถ้าแก่แต่งตัวแบบนี้เป็นปกติค่ะ” คุณมนทิราเล่าเรื่องราวความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มอันสดใส

ทุกวันนี้ คุณมนทิราในวัย 70 กว่าปี เชื่อมั่นในการตัดสินใจรับประทานอาหารมังสวิรัติของตนเมื่อ 40 กว่าปีก่อนว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด โดยกล่าวว่า “ฉันคิดว่า ฉันห่างไกลจากโรคภัยหลายอย่างได้ เพราะฉันกินมังสวิรัติค่ะ เพราะตอนแรกคิดเสมอว่า ถ้าแก่แล้วตัวเองน่าจะเป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือโรคเบาหวาน แต่จนถึงทุกวันนี้ ฉันไม่ป่วยเป็นโรคเหล่านี้เลยค่ะ” เพราะเอาชนะกิเลสของการอยากรับประทานเนื้อสัตว์ด้วยปัญญา ไม่เบียดเบียนชีวิตสรรพสัตว์ ทำให้ทุกวันของคุณมนทิราเต็มเปี่ยมด้วยความสุขที่แท้จริง

 


   เรื่อง  บุษรา สมบัติ      ภาพ  พิณญ์ธิชา จันทร์สุขศรี, บุษรา สมบัติ