เมล็ดพันธุ์ฉือจี้เมล็ดแรกในเมืองไทย คุณเฉินลี่หน่วน

 20190504-268-bysukanya resize


        พ.ศ. 2531 คุณเฉินลี่หน่วน ติดตามสามีคุณหวงจงจี ซึ่งไปลงทุนสร้างโรงงานในต่างแดน เดินทางจากไต้หวันซึ่งเป็นเกิดเมืองนอนของตน มาถึงดินแดนแห่งรอยยิ้ม “ประเทศไทย”
        แม่บ้านธรรมดา ที่ต้องพลัดพรากจากถิ่นฐานบ้านเกิด มาอาศัยอยู่ในต่างแดน ทุกวันจึงเต็มไปด้วยความกังวลใจและความห่วงใยต่อคนในครอบครัว ตอนนั้น สามีที่มักงานยุ่ง ค่ำคืนยังต้องออกไปรับประทานอาหาร ดื่มแอลกอฮอล์ และร้องเพลงจนได้สมญานามว่า “เจ้าชายคาราโอเกะ”
        “พอฟ้ามืด ใจของฉันก็เริ่มวิตก เพราะเป็นห่วงว่าเมื่อสามีออกไปดื่มสุรา ถ้าเมาแล้วจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นหรือเปล่า หากเมาแล้วขับรถก็จะยิ่งอันตรายมาก ใจของฉันตอนนั้น เหมือนมีก้อนหินทับอยู่ จนแทบหายใจไม่ออก แต่ก็ไม่กล้าทะเลาะกับเขา ทำได้เพียงคุกเข่าต่อหน้าพระโพธิสัตว์ ขอให้ช่วยปกป้องสามีกลับมาบ้านอย่างปลอดภัย” คุณเฉินลี่หน่วนบอกเล่าถึงความรู้สึกของตนเองในช่วงนั้น

 

img031 resize                                                        ▲  คุณเฉินลี่หน่วน (ที่ 2 จากซ้าย) ย้ายตามสามีซึ่งนำครอบครัวมาตั้งรกรากอยู่ที่เมืองไทย ตั้งแต่ พ.ศ.2531


        เมษายน พ.ศ.2536 เนื่องจากภาระงานของสามี คุณเฉินลี่หน่วนจึงได้มีโอกาสเดินทางไปยังประเทศอินโดนีเซีย จนได้รู้จักจิตอาสาฉือจี้ พร้อมทั้งได้รับของขวัญอันล้ำค่า คือ “เทปเสียงธรรมเทศนาจากท่านธรรมาจารย์เจิ้งเอี๋ยน” หลังจากเดินทางกลับมาเมืองไทย ความกังวลใจต่อครอบครัวยังคงอยู่ ทุกคืนเมื่อสามีออกจากบ้าน คุณลี่หน่วนจึงเริ่มคุกเข่าต่อหน้ารูปเคารพพระโพธิสัตว์ อีกทั้งฟังเสียงเทปธรรมเทศนาจากท่านธรรมาจารย์ ความรู้สึกในตอนนั้นคือ เกิดความเลื่อมใสในความเมตตาและสติปัญญาของท่าน จากนั้นจึงแปรเปลี่ยนความซาบซึ้งใจ เป็นแรงผลักดันในการลงมือทำงานเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์ ไม่ว่าพบเจอใครก็เล่าเรื่องราวของฉือจี้ เชิญชวนทุกคนบริจาคเงินบุญ ร่วมทำความดี
        “ช่วงแรกที่ได้รับเงินบริจาค ฉันจะนำเงินไปส่งให้ที่สำนักงานใหญ่ฮวาเหลียน ในไต้หวัน ตอนนั้นอาจารย์ก็บอกว่า เราอาศัยอยู่ในประเทศของเขา พึ่งพาผืนฟ้าและแผ่นดินของเขา ทุกสิ่งที่ได้จากเมืองไทย ก็ต้องใช้สอยเพื่อเมืองไทย ดังนั้น ฉันจึงเริ่มปรึกษากับจิตอาสาท่านอื่น เพื่อจะแนะนำฉือจี้ให้ผู้คนในเมืองไทยได้รู้จักมากยิ่งขึ้น ตอนนั้นยังไม่มีสำนักงาน จะประชุมปรึกษาหารือเรื่องราวต่างๆ ก็จะต้องสลับหมุนเวียนกันไปตามบ้านของเหล่าจิตอาสา แม้จะไม่สะดวก แต่ทุกคนต่างก็มีความตั้งใจและทำงานด้วยความทุ่มเท” ชาวฉือจี้ต่างไม่หวาดหวั่นต่อความยากลำบาก ทำงานฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการด้วยความตั้งใจ เพราะแท้จริงแล้วจะยากหรือง่าย ล้วนขึ้นอยู่กับใจของเราเอง

 

 เอาเงินจากที่ไหน มาช่วยเหลือผู้คน

         ตอนนั้นไต้หวันกำลังผลักดันเรื่องอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทุกคนจึงเห็นพ้องต้องกันว่า น่าจะจำหน่ายกระเป๋ารีไซเคิล เพื่อระดมกองทุนทำงานการกุศล พอดีเพื่อนฝูงที่รู้จัก บางคนก็เปิดโรงงานผ้า บางคนก็เปิดโรงพิมพ์ เราจึงคิดว่า น่าจะขอรับบริจาควัสดุเหล่านี้ เพื่อผูกบุญสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ให้พวกเขาได้ทำบุญร่วมกับเรา ดังนั้นจึงไปบอกบุญกับพวกเขา ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากทุกคน เท่ากับว่ากระเป๋ารีไซเคิลที่เราผลิตจำหน่ายเพื่อการกุศลนั้น จึงไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเลย ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็ทำขนมไหว้พระจันทร์จำหน่ายเพื่อการกุศล เพราะมีสมาชิกจิตอาสาของเราทำขนมไหว้พระจันทร์เก่งมาก ทุกคนก็ไปเรียนรู้กับเธอ เมื่อก่อนไม่มีสำนักงานก็ไปทำขนมกันที่บ้านของฉัน เพราะเดินทางกันได้สะดวก ตอนเช้าเมื่อฉันออกมาเปิดประตูบ้าน ทุกคนก็มาถึงบ้านของฉันแล้ว ตอนนั้นเนื่องจากภารกิจทางบ้านของฉันค่อนข้างยุ่ง ฉันจึงต้องออกไปทำงาน แต่ว่าจิตอาสาท่านอื่นก็ยังคงตั้งใจทำขนมกันต่อที่บ้านของฉัน ต่อเนื่องนานประมาณ 7-10 วัน ตอนนั้นพวกเราไม่มีเตาอบใหญ่ๆ ทุกคนจึงเอาไมโครเวฟขนาดต่างๆ มาจากบ้านของตนเอง แต่เพราะเป็นไฟฟ้าที่ใช้ตามบ้านทั่วไป เมื่อต่อสายไฟพ่วงไปพ่วงมา ไฟก็ตก ทำงานกันจนดึก แถมไฟยังดับ แต่ทุกคนกลับไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไรเลย แถมยังรอไฟฟ้ามาอย่างกระตือรือร้นเพื่อทำงานต่อ นอกจากนั้น ยังทำขนมจ่างมังสวิรัติเพื่อการกุศลอีกด้วย คุณแม่ของฉันช่วยสอนวิธีการห่อขนมจ่างให้ ตอนนั้นนอกจากท่านจะสอนและแนะนำพวกเราแล้ว ตัวท่านเองซึ่งอายุมากแล้ว วันหนึ่งห่อได้มากกว่าพันลูก พวกเราที่ยังหนุ่มๆ สาวๆ ไม่มีใครชนะท่านได้เลย เราก็ได้เรียนรู้ความอดทนนี้จากท่าน” ย้อนกลับไปวันวาน แม้จะเต็มด้วยความลำบาก แต่ทุกย่างก้าวกลับเต็มเปี่ยมด้วยความปีติยินดี ได้ใช้สติปัญญาแสดงออกถึงความเมตตา จนกระทั่ง สามารถก่อตั้งจุดติดต่อฉือจี้ในประเทศไทยขึ้นอย่างเป็นทางการ เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.2538

 img039 resize

                                                        ▲ ในยุคแรก จะหาเงินจากที่ไหนเพื่อมาช่วยเหลือผู้คน ชาวฉือจี้ในเมืองไทยอาศัยการจัดทำและจำหน่ายขนมจ่างมังสวิรัติเพื่อการกุศลเป็นหนทางหนึ่งใน

                                                           การระดมกองทุน

 

 

ไขว่คว้าโอกาส ตั้งใจทำงาน “ฉือจี้

        “จิตอาสาทุกคนต่างก็มีความสามารถ ฉันแค่ทำหน้าที่ช่วยโทรศัพท์ประสานงาน หรือแจ้งข่าวสารให้ทราบเท่านั้น ต่อมาเมื่อจะกลับไปฮวาเหลียน ท่านธรรรมาจารย์จึงบอกให้ไปรับรองวุฒิเป็นกรรมการ เนื่องจากตอนนั้นจิตอาสาท่านอื่นต่างก็มีภารกิจรัดตัว หลายท่านไม่สามารถทุ่มเททำงานฉือจี้ได้เต็มเวลา แต่ในเมื่อท่านธรรมาจารย์ต้องการให้มีกรรมการมาทำงานผลักดันภารกิจฉือจี้ในประเทศไทยต่อไป ตัวฉันเองซึ่งรักท่านธรรมาจารย์มาก จึงเดินทางกลับไปรับรองวุฒิที่ไต้หวัน โดยที่ตอนนั้นไม่ได้คิดเลยค่ะ ว่าฉันจะกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ฉือจี้เมล็ดแรกในเมืองไทย ตอนนี้เมื่อลองมองย้อนกลับไป ทำให้รู้สึกว่าตัวเองช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย” คุณลี่หน่วนแบ่งปันมูลเหตุของการเดินทางกลับไปรับรองวุฒิกรรมการฉือจี้เมื่อปี พ.ศ.2538

        “ตอนนั้น เมืองไทยมักจะเกิดน้ำท่วม เราเองก็อยากจะช่วยผู้ประสบภัย แต่ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นจากตรงไหน จึงมักจะรวมตัวเพื่อปรึกษาหารือเรื่องนี้ กลับมาบ้านแล้วก็ยังต้องคุยโทรศัพท์ต่อ คุยไม่จบเสียที จนสามีฉันไม่พอใจ คิดว่าพวกผู้หญิงกลุ่มนี้ พอพูดเรื่องฉือจี้ ก็ไม่รู้จักจบจักสิ้น อยากจะถีบให้ตกเตียงไปเลย” คุณลี่หน่วนบอกเล่าเหตุการณ์ในช่วงที่เริ่มต้นทำงานฉือจี้ด้วยอารมณ์ขัน เนื่องจากคนในครอบครัวไม่เข้าใจ ถึงแม้จะเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่กลับใช้ใจที่ต้องการเสียสละโดยไม่หวังผลตอบแทน ยืนหยัดทำงานช่วยเหลือผู้อื่นด้วยใจปีติสุข ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดหรือสถานที่ใดก็ตาม ล้วน “ตั้งใจ” ทำงาน จนค่อยๆ ส่งผลกระทบต่อทั้งครอบครัว

 img009 resize

                                                         ▲ ปี พ.ศ.2541 ชาวฉือจี้ในเมืองไทยรับช่วงต่อจากสำนักงานใหญ่ ในการดูแลอดีตทหารคณะชาติซึ่งอาศัยอยู่ทางภาคเหนือของไทย โดยอาศัยวิธีการ

                                                             อุปการะเลี้ยงดู

 

 

 ความรับผิดชอบ ต่อภาระหน้าที่

        ปี พ.ศ.2541 เมื่อโครงการสงเคราะห์ภาคเหนือของไทยสามปี โดยมูลนิธิฉือจี้ไต้หวันเสร็ตสิ้นลงตามวาระ จึงได้ส่งมอบงานดูแลหมู่บ้านต้าอ้ายและอดีตทหารคณะชาติกว่า 120 คน ซึ่งต้องมีใช้ค่าใช้จ่ายปีละประมาณ 2,000,000 บาท ให้กับชาวฉือจี้ในเมืองไทยรับช่วงต่อ ตอนนั้นจิตอาสาต่างก็กังวลว่า จะหาเงินจำนวนมากถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ครั้นแล้วเหล่าลูกศิษย์ฉือจี้ในเมืองไทยจึงตัดสินใจว่าจะเดินทางกลับไปไต้หวัน เพื่อขอคำชี้แนะจากท่านธรรมาจารย์ แต่ว่าเมื่อได้พบกับท่านธรรมาจารย์ ได้เห็นภาพของภิกษุณีที่ร่างกายผอมบาง ทว่าหัวใจกลับเต็มไปด้วยปณิธานอันยิ่งใหญ่ ที่ต้องการช่วยเหลือผู้คนจำนวนมาก ภาระงานของอาจารย์ที่ต้องทำในแต่ละวันก็ไม่หมดไม่สิ้นแล้ว ทำให้ทุกคนไม่กล้าเอ่ยปากขอคำชี้แนะ จึงทำได้เพียงเดินทางกลับมาคิดหาวิธีการกันเองที่เมืองไทย

        “ต่อมา สามีของฉันเสนอแนะให้ใช้วิธีการอุปการะเลี้ยงดู หลังจากปรึกษากับจิตอาสาท่านอื่น จึงเสนอขึ้นมาว่า เพียงคนละ 1,700 บาทต่อเดือน ก็สามารถอุปการะทหารสูงอายุได้แล้วหนึ่งคน ตอนนั้นเมื่อสามีออกไปกินเลี้ยงสังสรรค์ ก็จะเชิญชวนให้เพื่อนๆ ดื่มน้อยลงหน่อย เพราะเมื่อเปิดไวน์น้อยลงหนึ่งขวด เงินค่าไวน์ที่ประหยัดได้ ก็จะสามารถดูแลชีวิตของทหารสูงอายุเหล่านี้ได้ ดังนั้นภาระงานนี้จึงสำเร็จลุล่วงลงด้วยดี ดังเช่นที่ท่านธรรมาจารย์กล่าวไว้ เมื่อมีปณิธาน ย่อมมีพลัง” บนเส้นทางการทำงานฉือจี้ จะเห็นได้ว่า สามีหรือคุณหวงจงจี คือ บุคคลสำคัญ ที่คอยช่วยผลักดันอยู่เบื้องหลัง คุณลี่หน่วนจึงต้องการเชิญชวนให้สามีมาร่วมเดินบนเส้นทางพระโพธิสัตว์ฉือจี้

 

img041 resize

                                                       ▲  คุณหวงจงจี คือ บุคคลสำคัญที่คอยช่วยผลักดันอยู่เบื้องหลังคุณเฉินลี่หน่วน

 

         หลังจากกลับจากการรับรองวุฒิกรรมการฉือจี้ คุณลี่หน่วนจึงเริ่มคิดหาวิธีการเพื่อชักชวนสามี “คุณหวงจงจี” มาร่วมทำงานฉือจี้ แต่กลับถูกปฏิเสธมาโดยตลอด เมื่อ 20 กว่าปีก่อน บริษัทของทั้งคู่ต้องนำเข้าสินค้าเป็นประจำทุกเดือน คุณลี่หน่วน จึงถือโอกาสนำเข้าวารสารฉือจี้ หนังสือเส้นทางธรรมฉือจี้และเทปเสียงธรรมเทศนาของท่านธรรมาจารย์มายังเมืองไทยด้วย เพื่อเชิญชวนสามีให้ร่วมเดินบนวิธีโพธิสัตว์ฉือจี้ คุณลี่หน่วนคิดหานานาวิธีการ ตั้งใจเปิดเทปฉือจี้บนรถยนต์ ประหนึ่งว่าเปิดฟังเอง แต่วัตถุประสงค์แท้จริง คือ ต้องการเปิดให้เสามีฟัง

 

 img040 resize       “ตอนแรกเหมือนไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น จนวันหนึ่ง หลังจากสามีฟังเทปธรรมเทศนาของท่านธรรมาจารย์เรื่องโลกแห่งความรักของฉือจี้ สามีของฉันจึงเอ่ยปากขึ้นเองว่า ในฐานะที่เป็นคนภาคใต้ของไต้หวัน เขาเองก็ต้องการสนับสนุนท่านธรรมาจารย์ก่อสร้างโรงพยาบาลฉือจี้ต้าหลิน ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ของไต้หวันด้วย อีกทั้งยังยินดีร่วมทำงานฉือจี้ ตอนนั้นฉันรู้สึกว่า ในที่สุดพระโพธิสัตว์ก็ทำให้มนุษย์หินที่บ้านพยักหน้าตกลงจนได้ จำได้ว่า ตอนที่ฉันนำเงินบริจาคไปมอบให้กับภิกษุณีที่สมณารามจิ้งซือ ฉันรู้สึกว่าเงินที่ฉันขอรับบริจาคมาจำนวนนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่ามหาศาล หลังจากนั้น จึงได้ทราบว่า สามีของฉันเคยเล่าให้จิตอาสาท่านอื่นฟังเล่นๆ ว่า ตอนที่เขาฟังเทปท่านธรรมาจารย์นั้น เขาจะใส่แว่นกันแดดสีดำไว้ทุกครั้ง ตอนที่ซึ้งใจจนร้องไห้ออกมา ก็จะไม่มีคนเห็น จะได้ไม่เขิน” ในที่สุด ปี พ.ศ. 2545 คุณหวงจงจีจึงเข้ารับการรับรองวุฒิเป็นสัตยบุรุษฉือจี้อย่างเป็นทางการ

 

ar พ.ศ.2538 คุณเฉินลี่หน่วนเข้ารับการรับรองวุฒิเป็นกรรมการฉือจี้ และเป็นเมล็ดพันธุ์ฉือจี้เมล็ดแรกในเมืองไทย

                                                                                  ในขณะเดียวกัน คุณหวงจงจี ก็เข้ารับ การรับรองวุฒิเป็นสัตยบุรุษฉือจี้เมื่อปี พ.ศ.2545

 

ตั้งมหาปณิธานด้วยพุทธจิต เพื่อให้พวกเรามีกำลังก้าวไปข้างหน้า

        เพราะได้เห็นความลำบากของสรรพชีวิต เมื่อได้เห็นความทุกข์ จึงตระหนักถึงความสุขของตน คุณลี่หน่วนยิ่งรู้สึกขอบพระคุณ อีกทั้งกระตือรือร้นสร้างบุญต่อ “แท้จริงแล้ว เมื่อคิดย้อนกลับไป ฉันทำงานฉือจี้มา 20 กว่าปีแล้ว ฉันคิดว่ากำลังของตนเองมีจำกัด ทำอะไรได้ไม่มาก ดังนั้น ฉันจึงทุ่มเทแรงกายแรงใจ ไขว่คว้าโอกาสในการทำความดี เหมือนกับที่ท่านธรรมาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า ขอแค่ ลงมือทำ”

       คุณลี่หน่วนตั้งปณิธานด้วยศรัทธาว่า จะขอทุ่มเทแรงกายแรงใจ เพื่อเชิญชวนผู้คนให้มาร่วมเดินบนเส้นทางพระโพธิสัตว์ให้มากยิ่งขึ้น หากทุกคนยื่นสองมือของตนเองออกไป คน 500 คน ก็เท่ากับ “พระโพธิสัตว์พันเนตรพันกร” เริ่มต้นจากหนึ่งเมล็ดพันธุ์ ขยายออกเป็นอีกเอนกอนันต์ ทั้งนี้เพื่อให้ท่านธรรมาจารย์คลายความวิตกกังวล และถือเป็นหน้าที่ของสานุศิษย์ทุกคน

 


 เรื่อง : บุษรา สมบัติ