ในแง่ของชีวิตทางโลก มีความแตกต่างระหว่างร่ำรวยกับยากจน “ยากจน” คือไม่มีเงิน ขาดแคลนสิ่งของ ไม่มีสิ่งของต่างๆ ที่เป็นรูปธรรม นี่คือ “ความยากจน” ที่เป็นรูปธรรมในทางโลก
หากยากจนแล้ว ความมุ่งมั่นตั้งใจก็จะลดน้อยถอยลงไปด้วย ดังนั้น จึงคิดว่า ฉันจะทำอะไรได้ ก็ฉันไม่มีเงินนี่ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย อะไรๆ ฉันก็ขาด แล้วฉันจะทำอะไรได้ ดังนั้นความมุ่งมั่นตั้งใจจึงตกต่ำลง จนไม่อยากจะทำอะไร แล้วจะแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างไร
คนที่เป็นเช่นนี้ จึงไม่ประสบความสำเร็จ แค่เพียงการขาดแคลนวัตถุทางโลก เขาก็ไม่กล้าที่จะทำอะไร และไม่ยอมที่จะลงมือทำ คนเช่นนี้ คือ ขัดสนความมุ่งมั่นตั้งใจ
โบราณกล่าวไว้ว่า แม้จะจนเงินทอง แต่ต้องไม่จนใจ เพราะทุกคนล้วนมีศักยภาพที่ซ่อนอยู่ ตราบใดที่เรามีความมุ่งมั่นตั้งใจ ไม่มีสิ่งใดที่เราทำไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดที่เราจะไม่มีพลังทำได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความคิดจิตใจของเราเท่านั้น
ดังนั้น สิ่งที่ต้องกังวลใจมากที่สุด คือ การขาดความเชื่อมั่น การขาดสิ่งของนั้นไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัว คือ การขาดความเชื่อมั่น หากเราขาดซึ่งความเชื่อมั่นในตัวเองแล้ว ย่อมไม่สามารถทำงานใหญ่ได้ หากเราใช้ความเชื่อมั่นหรือศรัทธาอันบริสุทธิ์ ทุกคนย่อมมีศักยภาพ จริงหรือ เราเองก็มีศักยภาพหรือ หากเรามีศักยภาพจริง เราก็ยินดีที่จะเสียสละ อุทิศศักยภาพของตนเองด้วย ขอเพียงทำได้เช่นนี้ ขอเพียงเชื่อมั่นว่า ตัวเราเองก็มีศักยภาพเช่นเดียวกัน
รูปโดย ศุภักษร ธิกา
ยาจกกลายเป็นราชินี
เด็กสาวงดงามผู้หนึ่ง ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการขอทานมาตั้งแต่เล็กจนโต ครั้งหนึ่งมีผู้นำถังอาจมมาเททิ้งไว้ ข้างในมีเงินอยู่สองเหรียญ ไม่เป็นที่ต้องการของใครๆ เด็กสาวจึงเดินเข้าไปเก็บและนำไปล้างจนสะอาด ก่อนจะเก็บไว้กับตัว
วันหนึ่งขณะที่เธอกำลังขอทาน ก็เห็นผู้คนกำลังมุ่งหน้าไปยังยอดเขา ทุกคนเดินไปพลาง ชื่นชมสรรเสริญคุณธรรมของพระชั้นผู้ใหญ่ไปพลาง ต่างก็อยากถวายสิ่งของแด่ท่าน เพื่อจะได้รับพร เด็กสาวจึงตามพวกเขาไปดู เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในวิหาร ก็เห็นทุกคนนำอาหารต่างๆ มาถวาย พระชั้นผู้ใหญ่กำลังนั่งอยู่บนอาสนะ โดยมีพระรูปอื่นรับถวายแทน จากนั้นพระชั้นผู้ใหญ่จึงค่อยให้พรกับทุกคน
เด็กสาวรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก สารรูปอย่างฉัน ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่เสื้อผ้ามอมแมม จะถวายอะไรให้แด่พระชั้นผู้ใหญ่รูปนี้ได้บ้าง แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ จึงลองคลำหาเงินสองเหรียญที่ยังอยู่กับตัว ก่อนจะคุกเข่าลงถวายด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยความศรัทธา พระชั้นผู้ใหญ่จึงกล่าวว่า ให้สาวน้อยผู้นี้เข้ามา ก่อนจะยื่นมือออกไปรับเหรียญนั้น พร้อมทั้งแบ่งอาหารส่วนหนึ่ง มอบให้กับเด็กสาวผู้นี้ ดวงตาของเธอเปล่งประกายและคิดว่า ทำไมถึงดีเช่นนี้ เธอดีใจมาก รีบกราบลาและเดินจากมา
เมื่อลงมาถึงตีนเขา เธอก็ฟุบหลับลงบนหินก้อนหนึ่งใต้ต้นไม้ ในขณะที่หูก็ได้ยินเสียงรถม้าหลายคันกำลังแล่นเข้ามา โหราจารย์ของพระราชาผู้หนึ่งต้องการคัดเลือกราชินี โหราจารย์ผู้นี้รู้สึกเหมือนมองเห็นเมฆสีทอง ปกคลุมต้นไม้นั้นอยู่ ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายอันดี ณ ที่แห่งนั้นเอง เด็กสาวผู้นี้กำลังฟุบหลับอยู่ โหราจารย์จึงสั่งให้นางกำนัลเข้าไปปลุกเธอ ให้เปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ จนกลายเป็นคนใหม่ ที่สวยสดงดงามมาก ก่อนจะรับเธอกลับเข้าไปยังวังหลวง
เมื่อพระราชาเห็นสาวน้อย ก็ตกหลุมรักทันที จนแต่งตั้งให้เป็นราชินี ตัวราชินีเองก็รู้สึกประหลาดใจมาก จึงคิดว่า คงเป็นเพราะคำอวยพรจากพระชั้นผู้ใหญ่รูปนั้น เธอได้ขอข้าวของจำนวนมากจากพระราชา เพื่อจะนำไปทดแทนบุญคุณ จากนั้นราชินีจึงยกขบวนเดินทางไปถวายสิ่งของบนยอดเขา
ทว่าพระชั้นผู้ใหญ่ กลับนั่งอยู่บนอาสนะอย่างสงบ ทุกคนแปลกใจมาก ท่านจึงกล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือ “จิตใจ” ตอนที่มาในฐานะยาจก เธอถวายด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ ไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน ตอนนี้เมื่อมาในฐานะ “ราชินี” กลับมีจิตใจที่หยิ่งผยองในความร่ำรวยของตนเอง ดังนั้นสิ่งล้ำค่ามากที่สุด คือ ความมุ่งมั่นตั้งใจด้วยจิตอันบริสุทธิ์
จากเรื่องนี้ เตือนให้เราตระหนักว่า อย่าได้มีใจแบ่งแยก จะสอนให้เธอขจัดความหยิ่งผยองในจิตใจได้อย่างไร มิเช่นนั้น ราชินีผู้มีความหยิ่งผยอง ย่อมส่งผลร้ายต่อประชาชน ดังนั้น แม้เธอจะเป็นราชินีแล้ว พระผู้ใหญ่รูปนี้ก็ยังคงสอนสั่งเธอ ไม่ให้มีความหยิ่งผยอง การขาดแคลนสิ่งของที่เป็นรูปธรรม คือ “ยากจน” ความเชื่อมั่นอันเป็นนามธรรม จึงประเสริฐที่สุด และช่วยให้ทำงานใหญ่ให้สำเร็จได้ ดังนั้นเราต้องไม่เสียความเชื่อมั่นในตนเอง อย่าเป็นทุกข์จากการไม่มีวัตถุภายนอก หรือเป็นกังวลเมื่อได้มาแล้ว อย่าให้จิตใจเป็นเช่นนี้เลย
เรายังมีความสามารถอยู่ ดังเช่นสาวน้อยยาจกผู้นั้น แม้ทั้งตัวจะเหลือเพียงเงินสองเหรียญ แต่ก็ยินดีเสียสละ แล้วเราซึ่งมีศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัด หากเราไปจำกัดศักยภาพของตัวเองไว้ ก็จะไม่ยอมทำงานใหญ่ ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ดังนั้นแค่เราเปลี่ยนความคิด ก็จะไม่มีอะไรยาก