พระพุทธองค์ตรัสว่า “การได้ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เพราะความวิริยะจากหลายภาพหลายชาติ” ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ไหน ต่างก็มีเหตุปัจจัยให้มาจุติยังโลกมนุษย์แตกต่างกันออกไป เพราะพระพุทธองค์จุติมาตามความต้องการของโลกมนุษย์
ดังนั้น โลกมนุษย์แต่ละยุคแต่ละสมัย ล้วนมีความต้องการเบื้องหลังที่แตกต่างกันออกไป ทุกพระองค์ต้องเผชิญกับสรรพสัตว์ต่างๆ ในยุคสมัยที่แตกต่างกัน ด้วยธรรมะที่หลากหลายอย่างเหมาะสม หากเราสามารถใช้เวลานานถึงเพียงนี้ เพื่อเข้าใจและซึมซับคำสอนของแต่ละพระองค์มาอย่างต่อเนื่องแล้ว ก็จะสามารถสั่งสมบุญกุศลไว้ได้มากมาย
ทุกท่านอาจจะรู้สึกว่า พระศากยมุนีได้พบกับพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ถึงขนาดนั้น แล้วเราล่ะ ไม่รู้ว่าจะได้พบพระพุทธเจ้าองค์ไหน เราเคยได้พบบ้างหรือเปล่า และเราก็ไม่รู้ว่าคำสอนของพระองค์ไหน ที่จะเป็นประโยชน์กับเรา อาตมาขอให้ทุกท่านคิดว่า “ทุกคน คือ พระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง” แท้จริงแล้วทุกคนต่างก็มีธรรมะของตน หากเราตั้งใจรับฟังแนวคิดของผู้อื่น เรียนรู้วิธีจัดการกับเรื่องราวหรือการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนของเขา เท่ากับว่าเขากำลังสอนเราอยู่ หากเรารับฟังอย่างนอบน้อม ย่อมไม่พลาดโอกาสที่จะได้พบกับพระพุทธเจ้า เพราะทุกคนก็คือพระพุทธเจ้า ดังนั้น เราจึงต้องหมั่นฟูมฟักความเคารพนอบน้อมในจิตใจ
รูปภาพโดย เกณิกา เตจ๊ะนันท์
ยักษ์น้อยบนบัลลังก์พระอินทร์
ในขณะที่ทวยเทพต่างมารวมตัวกัน ณ ท้องพระโรงของพระอินทร์ ทันใดนั้นก็มียักษ์ตัวเล็ก หน้าตาน่าเกลียด ทั้งผอมและดำตนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วขึ้นนั่งบนบัลลังก์ของพระอินทร์ เหล่าทวยเทพจึงเข้ามาขับไล่ พร้อมด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคายอย่างไม่ขาดสาย แต่ยิ่งถูกด่ามากเท่าไร ตัวของยักษ์ก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้น ยิ่งด่าอีก ก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้นอีก พอตัวใหญ่ขึ้น รูปร่างหน้าตาที่เคยน่าเกลียด ก็กลับดูงดงามขึ้น
เมื่อเหล่าทวยเทพต่างอับจนปัญญา จึงรีบไปทูลพระอินทร์ว่า “ไม่ทราบว่าจะต้องทำอย่างไร จึงจะไล่ให้ยักษ์ตนนี้ลงจากบัลลังก์ได้” พระอินทร์จึงตรัสว่า “ไม่เป็นไร พวกท่านทราบไหมว่า ยักษ์จำพวกนี้ เรียกว่า ตัวยั่วโมโห ยิ่งเราโมโหมากเท่าไร มันก็ยิ่งได้ใจ และยิ่งพึงพอใจมากขึ้นเท่านั้น สำหรับเหตุการณ์นี้ เราสามารถจัดการได้”
เมื่อพระอินทร์เสด็จมาถึงท้องพระโรง จึงถือกระถางธูป เข้าไปโค้งคำนับยักษ์ตัวนั้นอย่างนอบน้อม พร้อมทั้งตรัสว่า “ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าคือพระอินทร์” เมื่อได้ฟังดังนี้ ร่างยักษ์ก็หดเล็กลง พระอินทร์จึงตรัสเรียกอีกครั้ง “ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าคือพระอินทร์” ร่างยักษ์ก็หดเล็กลงอีก พระอินทร์จึงตรัสเรียกอีกเป็นครั้งที่สามว่า “ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าคือพระอินทร์” ร่างยักษ์จึงหดเล็กลงเรื่อยๆ จนกลับคืนสู่สภาพเดิม ยักษ์ตัวนี้จึงรีบวิ่งหนีออกจากท้องพระโรงไปด้วยความอับอาย
พระอินทร์จึงขึ้นประทับบนบัลลังก์ พร้อมตรัสกับเหล่าทวยเทพว่า “พวกท่านจงจำไว้ว่า อย่าไปใส่ใจกับผู้ที่ชอบยั่วยุให้โกรธ ถ้าเราเจอกับบุคคลเช่นนี้ ต้องรู้จักยอมถอยหนึ่งก้าว และปฏิบัติต่อเขาด้วย ความอ่อนน้อมอย่างจริงใจ เพราะเมื่อเรายิ่งโมโห ยิ่งแสดงอารมณ์มากขึ้นเท่าไร ยิ่งทำให้เขายิ่งพึงพอใจมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเราพบเห็น ก็อย่าไปด่าทอ อย่าให้มันได้ใจ ถ้าทำได้ดังนี้ ยักษ์ที่คอยยั่วโมโห ก็จะค่อยๆ ล้มเลิกไปเอง”
จะว่าไปแล้ว แม้แต่บนสวรรค์ ก็ยังมีมารมาผจญ นับประสาอะไรกับโลกมนุษย์เรา เมื่อมีผู้คนมากมายอยู่อย่างวุ่นวาย ย่อมมีโอกาสมากมายให้ได้บำเพ็ญตน คนที่ชอบยั่วยุแบบยักษ์ก็อยู่ไม่ห่างเรา เขาก็เป็นคนเหมือนกัน คนที่ชอบยุยงให้ผู้คนโมโห ยิ่งโมโหเขายิ่งชอบใจ
เราต้องหมั่นเตือนตนเอง แค่เพียงคำพูดเดียวของเขา คุ้มค่าที่เราจะโมโหหรือไม่ แค่สีหน้าท่าทางของเขา เราถึงกับต้องโมโหเลยหรือ อย่าเลย ขอให้ขอบพระคุณ ขอบพระคุณดั่งเขาเป็นพระโพธิสัตว์ อย่าคิดว่าเขาเป็นดั่งยักษ์ ให้เราคิดว่าเขาเป็นดั่งพระโพธิสัตว์
เพราะมีการจำแลงตนมาสั่งสอนเรา ดังนั้นพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็อยู่รอบตัวเรานี่เอง เมื่อเจอกับคนขี้โมโห ชอบบันดาลโทสะ เขาคือคนที่กำลังสอนเรา และมีส่วนช่วยเราอย่างมาก อย่าคิดว่าเขากำลังทำร้ายเรา ขอให้คิดว่าเขากำลังทำประโยชน์เพื่อเรา หากคิดได้เช่นนี้ ก็จะเรียนรู้จากเขาได้อย่างมาก ถือเป็นการสะสมบุญกุศลอันมหาศาล
ในโลกมนุษย์นี้ เราจะเรียนรู้ จากเหล่าพระพุทธองค์จำนวนมากได้จากไหน แท้จริงแล้วเราทุกคนล้วนมีพระรัตนตรัยในตัว
ทุกคนล้วนให้โอกาสเราได้เคารพนับถือ ให้โอกาสเราได้บำเพ็ญตน ดังนั้น เราจึงต้องรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ จิตบริสุทธิ์ก็คือนิพพาน มีความกลมเกลียวทั้งคนและงาน รวมถึงเหตุผลต่างๆ นี่คือธรรมะที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง