ทุกคนต้องรู้จักดูแลจิตใจของตนเองให้ดี อย่าปล่อยให้เกิดกิเลสตัณหาขึ้น เมื่อเรามีจิตใจที่ชัดแจ้ง ย่อมดำเนินชีวิตได้อย่างสงบ พูดนั้นง่าย แต่ความเป็นจริงกลับไม่ง่ายเลย
ในสมัยพุทธกาล ท่ามกลางเหล่าสงฆ์สาวกที่กำลังเสวนากันนั้น ได้เกิดภาพเหตุการณ์มากมายปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพระพุทธองค์ซึ่งกำลังประทับอยู่ใต้ต้นโพธิ์ หนึ่งในนั้นคือ มีปีศาจมาคอยรบกวนจิตใจของพระองค์ ทว่าพระพุทธองค์กลับไม่หวั่นไหว ราวกับไร้ซึ่งปีศาจใดๆ
ขณะที่เหล่าสงฆ์สาวกกำลังเสวนากันนั้น ต่างชื่นชมว่าจิตใจของพระพุทธองค์นิ่งสงบเสมือนน้ำในบ่อ สะอาดบริสุทธิ์เสมือนกระจกใส สมควรต่อการสรรเสริญและเคารพจากเหล่าลูกศิษย์ หลังจากพระพุทธองค์ทรงสดับฟัง จึงตรัสกับสงฆ์สาวกว่า การรักษาจิตใจให้นิ่งสงบ ขณะที่มีปีศาจปรากฏกายเบื้องหน้า ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะอดีตชาติ พระองค์เคยเผชิญบททดสอบนี้มาก่อนแล้ว
พวกท่านรู้หรือไม่ว่า อดีตชาติของอาตมา ก็เคยประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน การไม่ปล่อยให้จิตใจโดนกระทบนั้น จึงเป็นสิ่งที่ยากลำบากอย่างแท้จริง
เมื่อเหล่าสงฆ์สาวกฟังแล้ว จึงอยากรู้ว่าอดีตชาติที่ผ่านมา พระพุทธองค์ทรงพานพบกับเหตุการณ์เช่นใด จึงขอให้เล่าถึงอดีตชาติของพระองค์
รูปโดย ศุภักษร ธิกา
บททดสอบแห่งจิตใจ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองบนยอดเขาสูง ซึ่งมีประชากรจำนวนมาก ชายหนุ่มซึ่งมีพี่น้องถึงหนึ่งร้อยคน ท่ามกลางครอบครัวใหญ่ เขาเป็นผู้เปี่ยมด้วยความสามารถ ไม่ว่าใครมีปัญหา ก็จะมาขอให้เขาช่วยคลี่คลาย
แม้จะยังเยาว์วัย ทว่ากลับสามารถช่วยแก้ไขปัญหาและความขัดแย้งให้กับผู้คนจำนวนมากได้ แม้กระทั่งปัญหาในการทำธุรกิจ ก็สามารถไปขอคำแนะนำจากเขาได้เหมือนกัน ดังนั้นผู้คนในเมืองจึงอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ในเวลานั้นทุกคนต่างเห็นว่า ควรจะมีการคัดเลือกตัวแทนขึ้นมาเป็นพระราชา เพื่อเป็นผู้นำของพวกเขา ทุกคนต่างปรึกษาหารือกันว่า ใครในเมืองคือผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมากที่สุด
ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ควรเลือกชายหนุ่มผู้นี้ เพราะเป็นที่รักของผู้คนจำนวนมาก จึงเดินทางไปอัญเชิญเขาถึงบ้าน แม้ชายหนุ่มจะไม่ได้มีความปรารถนาเช่นนั้น แต่ผู้คนต่างกล่าวว่า “ท่านช่วยเหลือพวกเรามามาก แก้ไขปัญหาให้เราหลายอย่าง อีกทั้งสอนวิธีการทำมาหากินให้กับเรา ดังนั้น เราจำเป็นต้องมีผู้นำเช่นท่าน นี่เป็นมติของทุกคน” จากการกึ่งบังคับ กึ่งขอร้องนี้ เขาจึงปฏิเสธไม่ได้ ผู้คนจึงสวมมงกุฎให้ บังคับให้เขาสวมฉลองพระองค์ที่ตัดเย็บไว้แล้ว และนั่งบนบัลลังค์ เพื่อรับการคารวะจากทุกคน พร้อมทั้งขนานนามเขาว่า “พระราชา”
ในสถานการณ์เช่นนี้ ชายหนุ่มจึงได้กลายเป็น “พระราชา” ผู้คนยังได้ตกแต่งวังหลวงอันโอ่อ่าให้ พร้อมทั้งเชิญให้เขาเข้าไปประทับอาศัยอยู่ กลายเป็น “พระราชา” ที่ผู้คนต่างเคารพรัก
นอกจากนี้ ยังได้คัดเลือกสาวงามกลุ่มหนึ่งให้มาฝึกหัดฟ้อนรำ ทุกคนต่างพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อจะได้รำถวายได้อย่างมีเสน่ห์ หลังจากรับชมการแสดง ชายหนุ่มไม่เพียงไม่หลงใหลได้ปลื้มไปกับอิสตรี แต่เขายังคิดว่า ทำไมช่างน่าเวทนาเช่นนี้ ผู้เป็นบุรุษต้องล่าสัตว์หรือทำมาค้าขายหาเลี้ยงชีพ ผู้เป็นสตรีก็ต้องอาศัยความงดงาม เสน่ห์มารยา ทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้ ช่างเต็มไปด้วยความทุกข์ จนได้ประจักษ์แจ้งว่า กับดักของชีวิตอยู่ที่กิเลสตัณหา หากประตูแห่งกิเลสในจิตใจเปิดออก ความบริสุทธิ์ในจิตใจก็ย่อมแปดเปื้อน ดังนั้นจิตใจของเขาในตอนนั้น จึงนิ่งสงบดุจดั่งน้ำในบ่อ เสมือนทะเลสาบอันเงียบสงบ ที่สะท้อนเงาจันทร์อย่างชัดเจน
เมื่อพระพุทธองค์เล่าถึงตรงนี้ จึงตรัสกับเหล่าสงฆ์สาวกว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาตมาในขณะนั้น มิได้รู้แจ้งในชีวิตอย่างแท้จริง แต่ก็ยังรู้ได้ว่า โลกมนุษย์ของเรา หากประตูกิเลสในจิตใจถูกเปิดออก ก็ย่อมถูกแปดเปื้อนได้ง่าย และง่ายที่จะตกหลุมพราง อาตมาในตอนนั้นรู้เพียงแค่นี้เท่านั้น แม้มีนางรำจำนวนมาก กำลังอวดทรวดทรงอยู่เบื้องหน้าของอาตมา แต่จิตใจของอาตมากลับมิได้สั่นคลอน แล้วจะเทียบอะไรกับภพชาตินี้ ที่เคยผ่านชีวิตในวังหลวง แต่ก็ยังตัดสินใจออกจากวัง ใช้ปณิธานอันแน่วแน่ ผ่านหนทางอันแสนยากลำบากมานานหลายปี แค่มีปีศาจปรากฏขึ้นเบื้องหน้าขณะนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ จะทำให้จิตใจของอาตมาสั่นคลอนได้อย่างไร ดังนั้น ในภพชาตินี้ การที่จิตใจสงบนิ่ง แม้มีปีศาจปรากฏกายอยู่เบื้องหน้า จึงมิได้สำคัญแต่อย่างใด
เมื่อเหล่าสงฆ์สาวกได้ฟังคำสอนของพระพุทธองค์ ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่า พระพุทธองค์ทรงประเสริฐยิ่งนัก เพราะไม่เพียงภพชาตินี้ ที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ มากมาย จากความเป็นอยู่ที่มั่งคั่งร่ำรวย พระองค์ก็ทรงสละทิ้งชีวิตที่สุขสบายนั้น ยินดีเผชิญกับความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก ไม่ว่าสภาพอากาศจะย่ำแย่ หนทางจะขรุขระ หรือความเป็นอยู่จะอัตคัดเพียงใด ความมุ่งมั่นของพระองค์นี้ทรงประเสริฐยิ่งนัก การไม่สั่นคลอนไปตามสถานการณ์ที่พานพบ ไม่ว่าจะในรูปแบบไหนนี้ จึงเป็นสิ่งที่เราต้องฝึกฝน ต้องฝึกฝนให้จิตไม่สั่นคลอนไปตามสถานการณ์