วาสนาที่เรามีต่อกันนั้น เมื่อเกิดขึ้นได้ ก็ย่อมสิ้นสุดลงได้เช่นกัน เรื่องนี้ละเอียดลึกซึ้งมาก ยากที่จะเข้าใจและอธิบายได้ ดังนั้นจึงขอแบ่งปันเรื่อง “วาสนา” แก่ทุกคนว่า วิธีการทำงานของ “วาสนา” นั้นมหัศจรรย์มากเพียงใด
มักจะบอกกับทุกคนเสมอว่า เราต้องเชื่อในกฎแห่งกรรม เพราะกรรมจะนำพาวาสนาให้เราได้มาพบกัน ซึ่งกรรมของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันออกไป แต่ด้วยกรรมที่เราเคยทำร่วมกันไว้ จะนำพาให้เรามาพบเจอกัน เกิดเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เป็นเพื่อน เป็นสามีภรรยา เป็นต้น
วาสนาหรือกรรมของแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน การเวียนว่ายตายเกิดในแต่ละภพชาตินั้น บางครั้งกรรมชั่วที่เคยก่อไว้ ก็ทำให้เราพบเจอกับความทุกข์เกินบรรยาย และบางครั้งกรรมดี ก็หนุนนำบุญวาสนา จนได้กลับมาพบเจอกันอีก ดังนั้น “วาสนา” จึงเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ที่พระพุทธองค์มักใช้การอุปมาอุปมัย เพื่อตรัสสอนเรา
รูปภาพโดย บุษรา สมบัติ
มารดาในห้าภพชาติ
เด็กชายซึ่งอายุเพียงเจ็ดขวบผู้หนึ่ง มักขบคิดอยู่เสมอว่า ชีวิตเกิดมาได้อย่างไร แล้วภายภาคหน้าจะไปที่ไหน เขารู้สึกสงสัยเช่นนี้อยู่เสมอ วิธีการพูดการจา ก็แตกต่างจากเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันคนอื่นๆ
วันหนึ่ง เขาจึงขออนุญาตผู้เป็นมารดา ออกไปค้นหาสัจธรรม แม้ผู้เป็นแม่ จะรู้สึกอาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก แต่ก็ยินยอมให้เขาออกไป
เด็กน้อยออกตามหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งไปทั่วทุกหนแห่ง ผ่านไปหลายวัน เขาได้พบกับนักบวชผู้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง กำลังบำเพ็ญตนอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร จึงพูดกับนักบวชว่า
“ขอให้ท่านรับผมเป็นศิษย์ด้วย” นักบวชรู้สึกว่าเด็กชายผู้นี้ แตกต่างจากเด็กทั่วไป จึงยินดีรับเป็นศิษย์ เด็กน้อยหมั่นฝึกฝนปฏิบัติธรรม รับฟังทุกคำสอนของอาจารย์ และนำไปตรึกตรองวินิจฉัยอย่างลึกซึ้ง
ผ่านไปหลายปี ในขณะที่เด็กน้อยกำลังนั่งสมาธิอยู่นั้น อาจารย์สังเกตเห็นว่า ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั่งสมาธิเสร็จสิ้นแล้ว อาจารย์จึงถามขึ้นว่า “เมื่อครู่ ในระหว่างที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ ทำไมจึงได้ยิ้มออกมา”
เด็กน้อยจึงตอบว่า “ในขณะที่นั่งสมาธิอยู่นั้น ผมได้เห็นแม่ในห้าภพชาติ หลังจากแม่คนแรกให้กำเนิดผมเพียงไม่กี่วัน ผมก็เสียชีวิตลง ทำให้ท่านเจ็บปวดใจมาก ต่อมา แม่คนที่สองก็ให้กำเนิดผม ผมได้รับความรักทั้งจากพ่อและแม่เป็นอย่างมาก แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน ผมก็เสียชีวิตลงอีก จากนั้น ผมก็กลับมาเกิดอีก แต่มีอายุได้เพียง 10 ปี ก็เสียชีวิตลง ทำให้แม่คนที่สามเศร้าเสียใจอย่างหนัก ภายหลัง ถึงแม้จะได้อยู่กับแม่คนที่สี่ เป็นเวลาถึง 20 ปี ท่านเองก็มีความคาดหวังในตัวผู้เป็นลูกเป็นอย่างมาก แต่ความไม่เที่ยงก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้หัวใจของผู้เป็นแม่เจ็บปวดรวดร้าว จนถึงแม่คนที่ห้า คือแม่ในชาติปัจจุบันของผม เมื่ออายุได้เจ็ดขวบ ผมก็ขออนุญาตออกบวช ทำให้ท่านอาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก”
ตลอดระยะเวลา 20-30 ปีที่ผ่านมา แม่ทั้งห้าภพชาติ ต้องเผชิญกับความทุกข์มากมาย และในวัฏสงสารของการเวียนว่ายตายเกิดเช่นนี้ “วาสนา” ทำให้พานพบและพลัดพรากไปแล้วหลายครั้งหลายครา
อาจารย์จึงถามอีกว่า “ตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่” เขาตอบว่า “คนเราติดอยู่ในวัฏสงสารของการเวียนว่ายตายเกิด ผมไม่อยากติดอยู่ในวังวนนี้ ไม่อยากสร้างเวรก่อกรรมต่อไปอีกแล้ว ผมจึงต้องมุ่งมั่นตั้งใจให้มากกว่านี้ครับ”
นี่คือเรื่องราวของเด็กน้อย แม้จะอายุเพียงแค่ 7 ขวบ แต่ก็ต้องการบำเพ็ญตน จึงศึกษาเล่าเรียนกับอาจารย์ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา จนสามารถเห็นถึงการเวียนว่ายตายเกิดในห้าภพชาติของตนได้ และเข้าใจถึงเหตุ ของการติดอยู่ในวัฏสงสารของการเวียนว่ายตายเกิด
ขอถามทุกคนว่า ตอนนี้ได้ทำให้พ่อแม่รู้สึกเป็นห่วงหรือกังวลใจหรือไม่ หรือหากพ่อแม่เสียชีวิตไปแล้ว รู้หรือไม่ว่า พวกท่านไปอยู่ ณ แห่งหนใด เส้นทางของการเวียนว่ายตายเกิด ท้ายที่สุดแล้วจะเป็นเช่นไร ชีวิตคนเราล้วนอยู่ในวังวน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้ายังคงใช้ชีวิตเช่นเดิม แล้วเราจะเข้าใจในสัจธรรมของชีวิตอย่างถ่องแท้ได้อย่างไร
____________
เราควรใช้ร่างกายที่พ่อแม่ให้มาอย่างไร
เราต้องเร่งรีบและมุ่งมั่นตั้งใจ ใช้ร่างกายมนุษย์ที่ได้มาในภพชาตินี้
ไปศึกษาธรรมะ เพื่อนำมาขัดเกลาจิตใจตน
หากเราไม่ศึกษาธรรมะ ชีวิตก็ย่อมสับสนวุ่นวาย ไม่เข้าใจว่าตนเองเกิดมาทำไม
และจะต้องใช้ชีวิตอย่างไร ซึ่งหลายคนไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้
ดังนั้น เราจึงต้องใช้บุญวาสนาที่เรามี ค้นหาคำตอบว่า “เราเกิดมาทำไม”
____________
แม้ว่าเราอาจจะไม่เข้าใจว่า ตนเองเกิดมาทำไม แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่า “ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามวาสนาหรือบุญและกรรม” เราเกิดมาเป็นพ่อแม่ลูกกัน เพราะมีวาสนาต่อกัน เมื่อตอนนี้เราทราบแล้ว และทราบว่า ด้วยบุญวาสนา ทำให้พ่อแม่ให้กำเนิดเรามา เราจึงต้องรู้จักใช้ร่างกาย ใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นต่อไป