เราต่างรอคอยชีวิตที่สงบสุขและสังคมที่ดีงามด้วยกันทั้งสิ้นใช่หรือไม่ การที่ทุกคนมีชีวิตอันสงบสุข มั่นคงแข็งแรง ในสังคมที่ดีงาม ผู้คนรักใคร่กลมเกลียวกัน จึงจะเป็น “ชีวิตที่มีความสุข” อย่างแท้จริง
การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอำนาจ โชคลาภและชื่อเสียง แต่คือการดูแลซึ่งกันและกัน เราควรแสดงความห่วงใยต่อกัน การดูแลห่วงใยซึ่งกันและกันนี้คือ การสื่อสารที่จริงใจ งดงามและดีงามที่สุด
หากเรามัวแต่สนใจอำนาจ ผลประโยชน์ หรือชื่อเสียง ก็จะเป็นอันตรายต่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เราควรอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข แสดงความเคารพและห่วงใยซึ่งกันและกัน ได้อยู่ในสังคมเช่นนี้ เราจึงเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุด อีกทั้งยังเป็นโลกที่สงบสุขที่สุดอีกด้วย
ดังนั้นในวาทะจิ้งซือ มักเตือนผู้คนว่า เราควรเคารพและชื่นชมซึ่งกันและกัน การยกย่องสรรเสริญผู้อื่นถือเป็นคุณธรรม
รูปโดย บุษรา สมบัติ
ม้าใจกว้าง
มีม้าอยู่ 2 ตัว ตัวแรกเป็นม้าหลวง และอีกตัวเป็นม้าป่า มันเป็นม้าที่ดีทั้งสองตัวและเจ้าของพวกมันก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกันอีกด้วย มีอยู่วันหนึ่งเจ้าของม้าทั้งสอง ต่างนำม้ามาพบกัน เจ้าของต่างฝ่ายต่างพูดถึงข้อดีของม้าตัวเอง ในขณะเดียวกัน ก็ยังยกย่องชื่นชมม้าของกันและกันด้วย ม้าทั้งสองตัวเดินเคียงข้างกันไปตามทาง ทันใดนั้น ม้าป่าก็ไปกัดคอม้าหลวงเข้าอย่างแรง ด้วยความเจ็บปวดม้าหลวงจึงกระโดดและส่งเสียงร้องออกมา ม้าหลวงเหลียวมองไปที่ม้าป่า ก่อนจะเดินต่อไปอย่างเงียบๆ
เจ้าของม้าไม่รู้ว่าระหว่างม้าทั้งสองตัวนั้น เกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงกล่าวคำอำลาและแยกย้ายกัน หลังจากนั้นม้าป่าก็กลับบ้านกับเจ้าของ มันกระสับกระส่าย ไม่ยอมกินหรือดื่มอะไรเลย เจ้าของจึงทุกข์ใจมาก เขาพยายามเกลี้ยกล่อมให้มันกิน แต่มันก็ไม่ยอมกิน เข้าไปปลอบมัน แต่ก็ยังเหมือนเดิม ผลักให้มันเดิน แต่มันก็ไม่ยอมเดิน ขาทั้ง 4 ข้างของมันเอาแต่สั่นอย่างเดียว
วันเวลาผ่านไป ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แม้แต่สัตวแพทย์ก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันป่วยเป็นอะไร
อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าของม้าป่าได้ไปเยี่ยมเจ้าของม้าหลวง และเล่าถึงสถานการณ์ม้าสุดที่รักของเขาให้ฟัง เมื่อเจ้าของม้าหลวงได้ฟังก็เข้าใจได้ทันที จึงบอกกับเจ้าของม้าป่าว่า “ไม่ต้องกังวลไป วันนี้ข้าจะไปเยี่ยมม้าของท่านด้วย”
ม้าหลวงจึงตามเจ้าของไป เพื่อไปหาม้าป่า เมื่อไปถึง ม้าหลวงก็เดินไปด้านหน้าม้าป่า และเอาจมูกของมันไปถูกับแก้ม ปาก และจมูกของม้าป่า มันทำแบบนั้นอยู่อย่างต่อเนื่อง ราวกับต้องการปลอบประโลม ม้าหลวงนั้นอ่อนโยนต่อม้าป่ามาก ในตอนแรกม้าป่ามีท่าทีเมินเฉย แต่ม้าหลวงก็ยังคงปลอบประโลมมัน โดยการแตะจมูกด้วยความอดทนและความอ่อนโยน ผ่านไปสักพักหนึ่ง ม้าป่าก็เริ่มมีท่าทีตอบสนอง เอาจมูกและแก้มของมันมาแตะกับม้าหลวง ในไม่ช้ามันก็กลับมาร่าเริงดังเดิม
เจ้าของม้าทั้งสองได้เห็นปฏิกิริยาของพวกมัน ดังนั้นเจ้าของม้าป่าจึงพูดว่า “ม้าของข้า กัดม้าของท่าน ม้าของท่าน ให้อภัยม้าของข้า แต่จิตใจม้าของข้ายังคงรู้สึกผิดมาโดยตลอด ตอนนี้ดูเหมือนว่า ม้าทั้งสองตัวจะดีกันแล้ว ม้าหลวงนั้นมีจิตใจกว้างขวางอย่างแท้จริง”
โลกแห่งสรรพสัตว์ ก็มีชีวิตจิตใจ เมื่อทำผิดแล้วก็รู้สึกสำนึกผิด สำหรับม้าป่านั้น มันรู้สึกแย่กับการกระทำผิดของตนเอง จึงถือเป็นม้าที่ดีตัวหนึ่ง ในทางตรงกันข้าม มนุษย์มักไม่สามารถรับรู้ถึงความผิดพลาดของตัวเองได้ ความไม่รู้ ความโลภ ความโกรธและความโง่เขลา เราทำผิดพลาดแบบเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไม่เคยสำนึกผิดอย่างแท้จริง แล้วสังคมจะมีความสงบสุขได้อย่างไร
ดังนั้นเพื่อให้มีความสงบสุขและความสามัคคีในสังคม ทุกคนควรมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ให้กำลังใจและชื่นชมซึ่งกันและกัน นี่คือโลกที่งดงามอย่างแท้จริงของเราทุกคน
จิตอาสาฉือจี้ทั่วโลก ต่างรณรงค์ให้ผู้คนรู้จักสำนึกผิดและหันมากินเจ โดยมีจุดมุ่งหวังให้ทุกคนได้เข้าใจว่า
--------
ความเสื่อมทั้งหลายบนโลกใบนี้ ล้วนเกิดขึ้นจากกิเลสของมนุษย์
ความไม่รู้ ความโลภ โกรธ หลง สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดมลทิน
เมื่อมีมลทิน จึงนำพาไปสู่หายนะต่างๆ บนโลก
เมื่อจิตใจผู้คนมัวหมอง จึงมักจะแข่งขันหรือต่อสู้กันเอง
โลกของเราก็จะกลายเป็นที่ซึ่งเต็มไปด้วยมลทิน
แล้วสภาพภูมิอากาศจะปกติสุขได้อย่างไร
--------
ดังนั้น เราจึงควรหมั่นทบทวนตัวเองและสำนึกผิด รวมถึงจุดประกายจิตใจที่บริสุทธิ์รู้จักเปิดใจให้กว้าง ดังเช่นม้าทั้งสองตัวนั้นเป็นตัวอย่าง เมื่อม้าป่าทำผิด มันก็รู้สึกผิดและเสียใจต่อการกระทำของตัวเอง ขณะเดียวกันก็ได้เห็นถึงจิตใจที่กว้างขวางและบริสุทธิ์ของม้าหลวง มันอภัยให้แก่ม้าป่าด้วยความรัก ดังคำกล่าว “ไม่มีใคร ที่ฉันไม่ให้อภัย” แม้กระทั่งสัตว์ก็ยังมีจิตใจที่เปิดกว้างและสำนึกในความผิดได้ แล้วมนุษย์อย่างเราล่ะ
อย่างไรก็ตาม ในโลกนี้ยังมีสิ่งล้ำค่า รอให้พบเจออยู่อีกมาก ดังนั้นการจะมีชีวิตที่สงบสุขอย่างแท้จริง เราต้องเริ่มต้นจากการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเหมาะสม