น้องนิตยาซึ่งกำลังจะเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา ในคณะพยาบาลศาสตร์ ของปีการศึกษาใหม่ที่จะมาถึงในเดือนมิถุนายนนี้
น้องอาศัยอยู่กับคุณยาย คุณแม่ พี่สาวและพี่ชายที่บกพร่องทางสติปัญญา (คุณตาเพิ่งเสียชีวิตลงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา) เนื่องจากคุณแม่หย่าร้างกับคุณพ่อ ทำให้ภาระค่าใช้จ่าย ในการดูแลสมาชิกครอบครัวทั้ง 6 คน ตกอยู่ที่คุณแม่เพียงลำพัง
1
ความรักต่อเนื่อง สงเคราะห์การศึกษา
หลังจากฉือจี้ผลักดันโครงการสงเคราะห์ทุนการศึกษา “ต้นกล้าแห่งความหวัง” เข้าสู่โรงเรียนราชดำริ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียงกับสถานธรรมจิ้งซือ เมื่อปี พ.ศ.2559 นิตยาซึ่งกำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในขณะนั้น เป็นหนึ่งในนักเรียนที่ได้รับทุนการศึกษาฉือจี้ ต่อมาผ่านการเยี่ยมบ้านและการเสนอแนะจากคุณครู กลางปี พ.ศ.2560 จิตอาสาฉือจี้จึงเริ่มให้การดูแลสงเคราะห์ มอบเงินจุนเจือชีวิตความเป็นอยู่ต่อเนื่องเป็นประจำทุกเดือน
จิตอาสาฉือจี้ดำเนินการเยี่ยมบ้าน เพื่อทำความเข้าใจสภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบันของครอบครัวน้องนิตยา
2
อาจารย์รัตตินันท์ เรืองปิติสิทธิ์ นายสายัณห์ ต่ายหลี ผู้อำนวยการโรงเรียนราชดำริ
นายสายัณห์ ต่ายหลี ผู้อำนวยการโรงเรียนราชดำริ กล่าวว่า “ในส่วนของมูลนิธิฉือจี้นั้น ไม่ได้ใช้ผลการเรียนมาเป็นปัจจัยหลักในการประเมิน เพราะมูลนิธิฉือจี้มองเห็นถึงความจำเป็นของนักเรียนและผู้ปกครอง ที่มีฐานะความเป็นอยู่ยากจนจริงๆ ครับ”
อาจารย์รัตตินันท์ เรืองปิติสิทธิ์ อดีตอาจารย์แนะแนวโรงเรียนราชดำริที่เกษียณอายุราชการแล้วกล่าวว่า “ถ้าฉือจี้ทราบว่าบ้านนักเรียนคนไหนมีปัญหามากยิ่งขึ้น ก็จะเข้าไปดูแลมอบความช่วยเหลือให้ทุกเดือน ซึ่งทางฉือจี้ก็ให้การดูแลนักเรียนของโรงเรียนเราอยู่หลายคนเลยค่ะ”
นับตั้งแต่ พ.ศ.2559 ที่จิตอาสาฉือจี้เริ่มมอบทุนการศึกษา “ต้นกล้าแห่งความหวัง” ให้กับนักเรียนโรงเรียนราชดำริเป็นต้นมา ทำให้มีโอกาสขยายความช่วยเหลือ ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของนักเรียนจำนวน 12 คน เป็นประจำทุกเดือนเพิ่มเติม
3
ฉือจี้ช่วยเหลือ แบ่งเบาภาระบนบ่า
คุณแม่ของน้องนิตยาหรือคุณเสาวนิตย์ ซึ่งเป็นพนักงานทำความสะอาดของกรุงเทพมหานคร มีรายได้เพียงเดือนละ 10,000 กว่าบาท บวกกับเงินผู้สูงอายุที่คุณตาคุณยายได้รับจากภาครัฐ รวมกันเดือนละ 1,600 บาท จึงไม่เพียงพอที่จะจุนเจือความเป็นอยู่ของสมาชิกในครอบครัวทั้ง 6 คน ถือเป็นภาระหนักที่คุณเสาวนิตย์ต้องแบกรับไว้แต่เพียงผู้เดียว
ผู้ปกครอง คุณเสาวนิตย์กล่าวว่า “ก่อนหย่าก็ยังพอมีคนช่วยแบ่งเบาภาระได้บ้าง แต่พอแฟนแยกตัวไปก็ลำบากมากเลยค่ะ เพราะภาระทุกอย่างก็ตกมาอยู่ที่แม่คนเดียว”
4
การเข้าออกบ้าน ทุกคนในครอบครัวน้องนิตยาต้องเดินผ่านสะพานไม้ที่ทรุดโทรมนี้
บ้านของน้องนิตยาตั้งอยู่ห่างจากโรงเรียนเป็นระยะทางค่อนข้างไกล เพื่อประหยัดค่าเดินทาง น้องจึงเลือกการเดินเท้าแทนการนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้าง แล้วจึงนั่งรถสองแถวอีก 3 ต่อ ก่อนจะเดินทางถึงโรงเรียน เพราะการเดินเท้าช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้วันละ 50-60 บาท ทุกวันน้องนิตยาจึงต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด
ขณะที่เรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย น้องนิตยาก็เริ่มวางแผนเผื่ออนาคตของตนเอง โดยมักจะเก็บเงินค่าอาหารกลางวันไว้เป็นค่าเล่าเรียนอุดมศึกษาของตนเอง เมื่อเพื่อนๆ หรืออาจารย์รู้เข้า จึงมักจะแบ่งอาหารกลางวันไว้ให้เสมอ หลังจากจิตอาสาฉือจี้ทราบเรื่องราวความลำบากของน้องนิตยา จึงเริ่มมอบเงินช่วยเหลือจุนเจือเป็นประจำทุกเดือนตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2560 เป็นต้นมา เพื่อให้เส้นทางการศึกษาของน้องนิตยาราบรื่นมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2562 ยังได้เดินทางไปเยี่ยมบ้านอีกครั้ง เพื่อช่วยทำความสะอาดที่พักอาศัย แบ่งปันแนวคิดการดำเนินชีวิตอย่างถูกสุขลักษณะและช่วยถางหญ้าที่รกชัฏบริเวณรอบบ้าน
จิตอาสาฉือจี้ระดมกำลังผู้มีจิตศรัทธา ร่วมกันถางหญ้าเพื่อให้ครอบครัวน้องนิตยาสามารถเข้าออกบ้านได้สะดวกยิ่งขึ้น
5
ช่วยเหลืออย่างทันกาล ต้นกล้าแห่งความหวังออกโบยบิน
หลังจากน้องนิตยาสำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ก็พยายามเดินตามความฝันของตนเองมาโดยตลอด “หนูอยากจะศึกษาต่อพยาบาลค่ะ เพราะว่าเวลาทางบ้านเป็นอะไร เขาออกมาลำบากมากเลยค่ะ หนูจึงอยากจะคอยดูแล เวลาที่เขาเจ็บป่วยค่ะ” น้องนิตยากล่าว นอกจากนี้น้องนิตยายังบอกอีกว่า การเป็นพยาบาล ยังได้ทำงานช่วยเหลือคนอื่นไปพร้อมกันด้วย “การเป็นพยาบาล จะได้คอยช่วยเหลือคนที่ยากลำบากกว่าเรา เขาจะได้รู้สึกมีความสุข เราซึ่งเคยเป็นผู้รับจะได้มีโอกาสเป็นผู้ให้กับเขาบ้างค่ะ”
หลังจากจิตอาสาช่วยครอบครัวน้องนิตยาทำความสะอาดที่พักอาศัยแล้ว
จึงชักชวนน้องนิตยาและคุณยายร่วมกันแสดงภาษามือประกอบเพลง "ครอบครัวเดียวกัน
จิตอาสาฉือจี้ คุณจางฮุ่ยหลันกล่าวว่า “แม้น้องนิตยาจะกู้ กยศ. เพื่อเรียนต่อ แต่ขณะที่ยังไม่ได้รับเงินทุนก้อนนี้จาก กยศ. เราก็มาเยี่ยมเยียนสอบถามว่า ก่อนเปิดภาคเรียน น้องมีภาระค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง”
ปลายเดือนกุมภาพันธ์ น้องนิตยาได้รับแจ้งว่า มีสิทธิ์เข้าศึกษาต่อ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต โดยต้องชำระเงินค่าลงทะเบียน ประมาณ 24,000 บาท ภายในกลางเดือนมีนาคม มิเช่นนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์ ขณะที่น้องนิตยากำลังเป็นกังวลว่าจะหาเงินก้อนนี้มาจากไหนอยู่นั้น การมาเยี่ยมเยียนสอบถามของจิตอาสาฉือจี้ จึงช่วยคลี่คลายปัญหาที่น้องนิตยากำลังประสบอยู่ได้อย่างทันท่วงที ช่วยสานฝันการศึกษาให้น้องนิตยา เพื่อจบออกมาเป็นพยาบาลต่อไป ช่วยให้ต้นกล้าแห่งความหวัง สามารถกางปีกโบยบินไล่ตามความฝันได้อย่างไร้กังวล
เรื่อง คุณบุษรา สมบัติ ภาพ คุณรัตนโชติประมวลทรัพย์ คุณพิณญ์ธิชา จันทร์สุขศรี คุณณัฐธยาน์ ธนัทกิตติพงศ์ คุณบุษรา สมบัติ