หลังจากลัดเลาะตามตรอกซอกซอยมาสักระยะ ก็มาถึงห้องแถวหลังเล็กๆ ก่อนจะได้รับการต้อนรับจากเจ้าเหมียวตัวน้อยขนปุกปุยที่ถูกล่ามไว้หน้าบ้าน และ “คุณยายประทีป”
ผู้ปกครองของ ด.ญ.ทิพย์สุดา หรือ “น้องปุ๊กปิ๊ก” ที่เดินออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะชักชวนให้เข้าไปรอในบ้าน เพราะน้องปุ๊กปิ๊ก นักเรียนชั้น ป.5 ที่คุณครูเสนอแนะให้รับทุนการศึกษาฉือจี้ “ต้นกล้าแห่งความหวัง” เป็นครั้งแรกในปีการศึกษา 2562 ที่จะถึงนี้ เพิ่งออกไปซื้อหาอาหารเช้า
คุณยายประทีปจะดูแลถักเปียให้น้องปุ๊กปิ๊กด้วยความเอาใจใส่เป็นประจำทุกวัน
1
เด็กหญิงตัวน้อย สู้ชีวิตด้วยอารมณ์ขัน
“ตอนนี้หนูกำลังโดนตำรวจตามตัวอยู่” เด็กหญิงตัวน้อย วัย 11 ขวบ เอ่ยโพล่งขึ้นมา หลังจากกล่าวทักทายทุกคนอย่างเป็นทางการแล้ว ทำให้บรรยากาศเงียบอึ้งลงทันที ก่อนที่ปุ๊กปิ๊กจะชี้ไปทางหลังบ้าน และพูดต่อว่า “เพราะหนูจับเจ้าสัตว์สงวนตัวนี้มา” ปุ๊กปิ๊กพูดพลาง ค่อยๆ เผยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย พร้อมกับชี้ไปที่เครื่องดนตรีไทยชิ้นโปรดของตัวเอง “จะเข้” ชวนให้ทุกคนโล่งใจไปตามๆ กัน ก่อนจะเอ็นดูกับอารมณ์ขันของปุ๊กปิ๊ก ที่พยายามเอนเตอร์เทนทุกคน
หลังปั่นจักรยานกลับจากซื้อปาท่องโก๋และโอเลี้ยงเป็นอาหารเช้าให้คุณยาย ปุ๊กปิ๊กก็กุลีกุจอรีบจัดผมเผ้าใหม่ให้เรียบร้อย โดยมีคุณยายช่วยหวีผมที่กระเซอะกระเซิง และถักเปียให้ใหม่ด้วยนิ้วมือที่คดงอทั้งสองข้าง เพราะโรคประจำตัวที่กำเริบ “หนูไม่เห็นตอนคุณยายเจ็บมือใหม่ๆ หนูเกิดมา หนูไม่เคยสังเกตุมือยายเลย มาเห็นอีกที มือยายก็เป็นแบบนี้แล้ว มือยายข้างหนึ่งจะเป็น I love you” ปุ๊กปิ๊กเล่า พลางชี้ไปที่มือของคุณยาย
หลังจากลูกสาวของคุณยายประทีปคลอดปุ๊กปิ๊ก ก็ไม่เคยกลับมาหาผู้เป็นพ่อแม่และลูกสาวตัวน้อยของตนเองอีกเลย สองตายายจึงดูแลปุ๊กปิ๊กมาตั้งแต่วัยแบเบาะ หลังจากคุณตาผู้เป็นสามีจากไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อปี พ.ศ.2556 คุณยายประทีปก็อาศัยรถเข็นขายขนมจีน ตระเวนหารายได้มาจุนเจือครอบครัว โดยมีหลานสาวตัวน้อยนั่งบนรถเข็นติดตามไปด้วยทุกที่ จนกระทั่งโรคประจำตัวรุมเร้า ทำให้ทุกครั้งที่ต้องเข็นรถตากแดดที่ร้อนอบอ้าวจะรู้สึกหนาวสั่น ถึงขั้นเป็นลมหมดสติ จนหลายครั้งหลายคราต้องนำขนมจีนและน้ำยาที่เตรียมไว้ขายเททิ้งไป เคราะห์ดีมีคนเมตตา เสนอให้คุณยายมารับจ้างช่วยทำงานบ้าน แต่เมื่ออาการของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ของคุณยายกำเริบหนักขึ้น จนทำงานไม่ไหว คุณยายจึงขาดรายได้ประจำ และต้องหันมาอาศัยการเก็บสิ่งของรีไซเคิล เพื่อขายแลกเงินมาประทังชีวิตแทน
เมื่อคุณยายล้มป่วย น้องปุ๊กปิ๊กก็คอยดูแลอย่างใกล้ชิดด้วยความห่วงใย
“ตื่นเช้ามา เห็นยายนอนปวดหัว ปวดเนื้อปวดตัว หนูก็เอาตังค์ในกระเป๋ายายไปซื้อข้าวให้ยายกิน บางวันไม่มีตังค์ หนูก็ปั่นจักรยานไปขอข้าวที่ร้านอาหารท้ายซอยค่ะ” ปุ๊กปิ๊กกล่าว
ช่วงที่คุณยายล้มป่วยและเพิ่งออกจากงานใหม่ๆ เป็นช่วงที่เด็กหญิงตัวน้อย ต้องยืนหยัดเพื่อเป็นที่พึ่งพิงให้กับคุณยาย แม้กระทั่งต้องยอมอดมื้อกินมื้อบ้างก็ตาม “ลำบากที่สุด คือ ตอนนั้นหนูซื้อข้าวมาให้ยายแล้ว หนูก็มานั่งหิวอยู่หน้าบ้าน” ปุ๊กปิ๊กบอกเล่าถึงวันวานในวันที่ยากลำบากมากที่สุด อย่างไรก็ตาม คุณยายก็ยังคงคิดถึงและห่วงใยหลานสาวตัวน้อยเป็นอันดับแรกเสมอ ครั้งนั้นก็เช่นกัน เพราะท่านได้แบ่งอาหารส่วนหนึ่งไว้ให้หลานสาวก่อนแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ปุ๊กปิ๊กติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจากตนเอง
2
เวทีของหนู อยู่บนสะพานลอย
เมื่อครั้งคุณยายประทีปยังสาวอยู่ ชื่นชอบในเสียงขิมที่เพื่อนบ้านมักเล่นให้ฟังอยู่เสมอ จึงถามหลานสาวว่าสนใจอยากเรียนดนตรีไทยไหม เมื่อหลานสาวตอบว่า “อยาก” คุณยายจึงอาศัยความอุตสาหะ เก็บเล็กผสมน้อย จนได้ค่าเล่าเรียนดนตรีไทยให้กับหลานสาว หลังจากเรียนต่อเนื่องมากว่าสองปี แม้จะยังไม่ได้เรียนตีขิมตามความตั้งใจแรกเริ่ม แต่ปุ๊กปิ๊กก็มีความสามารถในการเล่นดนตรีไทยอันหลากหลาย ทั้ง ซออู้ ขลุ่ยและจะเข้ เป็นต้น จนกระทั่งวันหนึ่งระหว่างที่เดินทางกลับจากการไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลตามนัด เด็กหญิงตัวน้อย ก็ผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา “ปุ๊กปิ๊กมาบอกกับยายว่า หนูเห็นคนร้องเพลง เล่นดนตรีเปิดหมวก มีกล่องใส่ตังค์อยู่ เห็นคนเขาใส่ หนูอยากไปบ้าง ยายเลยถามว่ากล้าไหม เขาตอบว่ากล้า ยายถามว่าไม่อายนะลูก เขาก็บอกว่า ไม่อาย วันนี้เราไปลองกันเลยนะยาย ยายเลยบอกว่า ถ้าปิ๊กอยากไป ก็ได้ลูก เดี๋ยวยายพาไป”
น้องปุ๊กปิ๊กเล่นจะเข้เปิดหมวกบนสะพานลอยเพื่อหาทุนการศึกษาแบ่งเบาภาระของคุณยาย
ภายหลังเนื่องจากโดนเจ้าหน้าที่ห้ามเล่นดนตรีเปิดหมวกบนสะพานลอย น้องปุ๊กปิ๊กจึงลงมาเล่นที่ใต้สะพานแทน
ท่ามกลางเสียงผู้คนที่กุลีกุจอกับกระแสชีวิตตนเอง มีเสียงสูงต่ำอันไพเราะของจะเข้คอยกล่อมเกลา หวังให้ทุกคนได้ลองหยุดคิดไตร่ตรองถึงจังหวะชีวิตที่เร่งรีบจนอาจลืมบางอย่างไว้เบื้องหลัง จากแรกเริ่มเดิมที น้องปุ๊กปิ๊กเล่นจะเข้เปิดหมวกบนสะพานลอยหน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ที่มีผู้คนสัญจรไปมาอย่างพลุกพล่าน ภายหลังเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องสั่งห้าม น้องปุ๊กปิ๊กจึงย้ายลงมาที่ด้านล่างสะพานลอย หรือไม่ก็เปลี่ยนไปเล่นตรงใต้สะพานกลับรถที่ห่างออกไปอีกหน่อย แม้ผู้คนอาจจะไม่ได้อุ่นหนาฝาคั่งเท่าบนสะพานลอย แต่ก็มีผู้มีจิตเมตตาที่ประทับใจในความอุตสาหะของเด็กหญิงสองเปียน้อย กับเสียงบรรเลงจะเข้ที่ก้องกังวาล ทยอยมอบกำลังใจให้อยู่เนืองๆ
บางครั้งน้องปุ๊กปิ๊กจะไปเล่นจะเข้เปิดหมวกที่ใต้สะพานกลับรถ เพื่อมาเป็นทุนการศึกษาของตนเอง
ปุ๊กปิ๊กบอกเล่าความรู้สึกว่า แม้จะต้องนั่งเล่นอยู่ท่ามกลางคนจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกกดดันหรือตื่นเต้น เพราะคิดว่าตนเองกำลังซ้อมดนตรีอยู่ในบ้าน ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ได้ช่วยแบ่งเบาภาระให้กับคุณยาย ปุ๊กปิ๊กกล่าวว่า “หนูรู้สึกภูมิใจว่า ตัวเองหาเงินได้ ต่อจากนี้ยายก็ไม่ต้องไปเดินเก็บขวดให้เหนื่อยแล้วด้วย”
“ไปครั้งแรกได้มา 200 กว่าบาท หูย ดีใจ กระโดดโลดเต้นเลย ได้ 200 กว่าบาท ดีใจมาก ปุ๊กปิ๊กก็มาบอกว่า ต่อไปยายไม่ต้องไปทำงานแล้วนะ ยายไม่ต้องไปเก็บขวดแล้วนะ แต่ยายก็อธิบายไปว่า ไม่ได้ลูก ยายยังต้องเก็บ จะให้ยายอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้” คุณยายบอกเล่าเหตุการณ์วันแรกที่น้องปุ๊กปิ๊กไปเล่นจะเข้เปิดหมวกบนสะพานลอย เมื่อหลายเดือนก่อน (เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2561) จนมีรายได้เพิ่มขึ้นมาอีกก้อนหนึ่ง หลังจากนั้นเด็กหญิงตัวน้อยก็เสนอว่าจะไปเล่นจะเข้เปิดหมวก ตอนเย็นหลังเลิกเรียน ทุกวันศุกร์ และบ่ายวันเสาร์-อาทิตย์ หลังจากจบชั้นเรียนดนตรีไทย
3
เพื่อนคนแรกของหนู คือ “คุณตา”
“ต้องตั้งใจเรียนหนังสือ หนังสือนี้ทิ้งไม่ได้เลย เพราะมันจะทำให้เรามีอนาคต โตขึ้นไปจะได้ทำงานดีๆ อย่างคนอื่นเขา การเรียนทิ้งไม่ได้” คุณยายประทีปบอกถึงความคาดหวังต่อหลานสาว ซึ่งปุ๊กปิ๊กก็รับปากอย่างหนักแน่น หลังจากที่เอ่ยปากขอให้คุณยายพาไปเล่นจะเข้เปิดหมวกอย่างต่อเนื่อง
คุณยายกำชับกับหลานสาวเสมอเรื่องการตั้งใจเรียนหนังสือ รวมทั้งโทรศัพท์ไปหาคุณครู ให้สามารถสอนสั่งหรือลงโทษหลานสาวได้ตามที่คุณครูเห็นสมควร โดยเฉพาะครั้งหนึ่งเมื่อปุ๊กปิ๊กเอาการบ้านวิชาภาษาอังกฤษขึ้นมาทำ ระหว่างที่คุณครูกำลังสอนภาษาไทย จึงโดนลงโทษไปตามระเบียบ เมื่อถามหาสาเหตุจึงได้ทราบว่า เพราะต้องทำการทำการบ้านให้เสร็จทัน เพื่อแลกกับคะแนนเก็บ จึงทำให้ตัดสินใจทำอย่างนั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะลองดีหรือท้าทายคุณครูแต่อย่าง
น้องปุ๊กปิ๊กโชว์ผลงานฝีมือของตนเองด้วยความภาคภูมิใจ
ภาพของคุณตาน้องปุ๊กปิ๊กที่วางอยู่ภายในบ้าน ยังคอยเป็นกำลังใจให้สองยายหลานอยู่เสมอ
“คุณตาคือเพื่อนคนแรกของหนู และเป็นคนที่หนูรักมากที่สุด” ตั้งแต่ปุ๊กปิ๊กแบเบาะ เนื่องจากคุณยายมักจะง่วนอยู่กับการทำงาน ทำให้หลานสาวมักใช้เวลาอยู่กับคุณตามากกว่า แม้คุณตาจากไปนานกว่า 5 ปีแล้ว (12 ธันวาคม พ.ศ. 2556) แต่สองยายหลานก็ยังไม่เคยลืมความรักความห่วงใยที่ท่านมอบให้ อีกทั้งยังเป็นแรงผลักดันให้น้องปุ๊กปิ๊กตั้งใจเรียนหนังสืออยู่จนถึงทุกวันนี้
“หนูจะตั้งใจเรียนเพราะไม่อยากให้ตาเสียใจ ไม่อยากให้ยายเสียใจ คุณยายบอกว่า ถ้าตามองลงมาจากบนท้องฟ้า แล้วเห็นหนูไม่ตั้งใจเรียน ตาจะโกรธ” ปุ๊กปิ๊กเล่าถึงเหตุผลในการตั้งใจเรียนของตนเอง และจะพยายามสานฝันเพื่อเป็นทหารอากาศ ทำงานช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาสาธารณภัย ตามที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการรับชมละครเรื่องหนึ่งต่อไป
4
มอบการดูแลระยะยาว บ่มเพาะต้นกล้าแห่งความหวัง
หลังจากจิตอาสาฉือจี้ ร่วมกับโรงเรียนคลองมหาวงก์ และเทศบาลตำบลบางเมือง จังหวัดสมุทรปราการ จัดพิธีร่มโพธิ์ร่มไทร เพื่อปลูกฝังความกตัญญูกตเวทีให้กับเยาวชนคนรุ่นหลัง ด้วยการเสิร์ฟน้ำชาและดูแลผู้สูงอายุในชุมชนแล้ว ทำให้มีโอกาสขยายโครงการสงเคราะห์ทุนการศึกษา “ต้นกล้าแห่งความหวัง” ไปยังนักเรียนโรงเรียนคลองมหาวงก์ โดยน้องปุ๊กปิ๊กเป็นหนึ่งในนักเรียนจำนวน 2,130 คน ที่จะได้รับทุนการศึกษาจากมูลนิธิพุทธฉือจี้ ประจำปีการศึกษา 2562 นอกจากนี้ จากการเยี่ยมบ้าน ทำให้จิตอาสาฉือจี้ ทราบถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากของครอบครัว จึงเริ่มให้การช่วยเหลือจุนเจือ สงเคราะห์ค่าใช้จ่ายให้กับน้องปุ๊กปิ๊กและคุณยายอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกเดือน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2562 เป็นต้นมา
จิตอาสาฉือจี้นำเงินสงเคราะห์ค่าใช้จ่ายไปมอบให้กับน้องปุ๊กปิ๊กและคุณยาย เป็นกำลังใจให้สองยายหลานสู้ชีวิตต่อไป
เรื่อง บุษรา สมบัติ ภาพ ณัฐธยาน์ ธนัทกิตติพงศ์ บุษรา สมบัติ ราตรี ญาติมาก