ค้นหาข่าว

อบรมจิตอาสาฉือจี้ขั้นต้น “ความดี” ต้องทำทันที

20160225-104-byjanyaporn resize

 

การอบรมอาสาสมัครฉือจี้ขั้นต้น “การอบรมเชิงปฏิบัติการอาสาสมัครพุทธฉือจี้รุ่นที่ 1/2559

 

การอบรมอาสาสมัครฉือจี้ขั้นต้น (อาสาสมัครเสื้อเทา) ในครั้งนี้ จัดขึ้นสืบเนื่องมาจาก กลุ่มเจ้าหน้าที่และจิตอาสาจากมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้เคยมาเข้าร่วมการอบรมอาสาสมัครฉือจี้ขั้นต้น ณ โรงพยาบาลโพธาราม จังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ 21-24 สิงหาคม พ.ศ.2557 ที่ผ่านมา เมื่อเดินทางกลับไปยังจังหวัดพิษณุโลก จึงได้ดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง จนเกิดชมรมจิตอาสาพระนเรศวรขึ้น ในมหาวิทยาลัยนเรศวร

 

 

 

20160225-01-byjanyaporn resize

▲ผู้เข้ารับการอบรมเริ่มมาลงทะเบียน โดยจะได้รับแก้วน้ำประจำตัวและสมุดบันทึกที่ทำจากกระดาษรีไซเคิลคนละ1เล่ม


ทว่าเนื่องจากไม่มีการอบรมเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่มีอาสาสมัครใหม่เกิดขึ้น คณะผู้บริหารและดร.กวิชช์ ธรรมิสร อาสาสมัครฉือจี้ ที่ปรึกษาคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จึงได้ประสานงานมายังประธานอาสาสมัครฉือจี้ราชบุรี นายแพทย์สมบูรณ์ นันทานิช ให้ช่วยจัดการอบรมอาสาสมัครฉือจี้ขั้นต้นขึ้น พร้อมทั้งจะร่วมผลักดันให้ผู้ที่ผ่านการอบรมนี้ เข้ารับการอบรมกรรมการและสัตยบุรุษฉือจี้ชั้นปีที่ 1 และปีที่ 2 ต่อไปตามลำดับ

 

20160225-06-byjanyaporn resize

▲อาสาสมัครฉือจี้ คุณชาญเดช สหสัจจญาณ ทำหน้าที่พี่เลี้ยงต้อนรับผู้เข้าอบรมอย่างอบอุ่น

 

พร้อมใจสนับสนุน ถ่ายทอดจิตวิญญาณจิตอาสาฉือจี้
“การอบรมเชิงปฏิบัติการอาสาสมัครพุทธฉือจี้รุ่นที่ 1/2559 ” ในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากอาสาสมัครฉือจี้ ที่มาทำหน้าที่คณะวิทยากรและคณะพี่เลี้ยงเป็นอย่างดี ด้วยทุกคนมุ่งหวังให้มีกำลังอาสาสมัครในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น


โดยคณะวิทยากร ได้ออกเดินทางมาจากหลายพื้นที่ ทั้งจังหวัดราชบุรี กรุงเทพมหานคร และเชียงใหม่ ด้วยพาหนะที่หลากหลายในการเดินทาง ทั้งโดยสารรถไฟ รถทัวร์ รถยนต์และเครื่องบิน โดยเดินทางมาถึงมหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลกครบทุกคน ในเวลาประมาณ 15.30 น.ของวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2559
เมื่อเดินทางมาถึง จึงช่วยกันจัดสถานที่ ประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน เพื่อให้การอบรมในวันพรุ่งนี้ เต็มไปด้วยบรรยากาศของฉือจี้ที่อบอุ่นและน่าเรียนรู้ โดยใช้เวลาในการจัดเตรียมสถานที่และประชุมถึงเวลา 18.30 น.

 

20160225-49-byjanyaporn resize

▲ประธานในพิธีเปิดการอบรม นายแพทย์จตุรวิทย์ หอวรรณภากร รองอธิการบดีฝ่ายกิจกรรมนักศึกษาคณะแพทย์ ศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ร่วมเทเหรียญในกระปุกออมบุญ

 

เช้าวันที่ 25 กุมภาพันธ์ คณะวิทยากรและคณะทำงาน ได้เดินทางมาถึงสถานที่ตั้งแต่เวลา 6.30 น. เพื่อจัดเตรียมและดูแลความเรียบร้อยอีกครั้ง จัดกลุ่มพี่เลี้ยงเตรียมพร้อม เพื่อต้อนรับผู้เข้าอบรม


เมื่อผู้อบรมเดินทางมาถึง จึงเริ่มพิธีเปิดการอบรม โดยนายแพทย์นนท์ โสวัณณะ หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว ได้ขึ้นกล่าวรายงานการจัดอบรมครั้งนี้ จากนั้นประธานในพิธี นายแพทย์จตุรวิทย์ หอวรรณภากร รองอธิการบดีฝ่ายกิจกรรมนักศึกษาคณะแพทย์ศาสตร์ จึงขึ้นกล่าวเปิดการอบรม

 

20160225-13-byjanyaporn resize

▲นายแพทย์สมบูรณ์ นันทานิช เสิร์ฟน้ำชาด้วยความนอบน้อม

 


นายแพทย์จตุรวิทย์กล่าวว่า ผู้เข้ารับการอบรมในครั้งนี้ ล้วนมาด้วยความสมัครใจทุกคน ทำให้ท่านรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง พร้อมทั้งให้ข้อแนะนำว่า การทำงานจิตอาสานั้น ย่อมต้องพานพบอุปสรรค ทั้งคำนินทา ความล้มเหลว หรือความไม่ต่อเนื่องต่างๆ แต่ขอให้ทุกคนก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านั้นไปให้ได้ เพราะทุกคนต่างมาด้วยความตั้งใจที่ต้องการจะช่วยเหลือผู้อื่น สิ่งนี้จะทำให้ทุกคนมีความสุข สุดท้ายท่านยังได้กล่าวอวยพร ให้การอบรมครั้งนี้ ประสบความสำเร็จ ทุกคนมีความสุขในการเรียนรู้

 

ร่วมเป็นหนึ่งในพลังความดี
วิทยากรเริ่มต้นการอบรม ด้วยการนำทุกคนร่วมร้องเพลงชาติไทย สวดมนต์ไหว้พระทำจิตใจให้ผ่องใส และร้องเพลง “พ่อของแผ่นดิน” เพื่อถวายเป็นราชสักการะและราชสดุดี แด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นอาสาสมัครฉือจี้ จึงร่วมกันแสดงภาษามือประกอบเพลง “โลกนี้มีความรัก” เป็นสัญลักษณ์แทนการมอบความรักให้แก่ทุกคน แล้วจึงเสิร์ฟน้ำชาสำนึกคุณให้ท่านประธานในพิธี พร้อมนำผู้ร่วมอบรมทุกคน ดื่มน้ำชาแห่งความดี คือ “คิดดี พูดดีและทำดี”

 

20160225-52-byjanyaporn resize

▲ ทีมพี่เลี้ยงทำหน้าที่ดูแลลูกไก่ด้วยความรักอย่างอบอุ่น


ต่อมา อาสาสมัครฉือจี้ คุณสุชน แซ่เฮง ได้บรรยายบอกเล่าถึงความเป็นมาของฉือจี้ โดยกล่าวถึงแนวทางการทำงานภารกิจของฉือจี้ ที่ยึดหลักพรหมวิหาร 4 “เมตตา” คือ การทำงานภารกิจการกุศล “กรุณา” คือ ภารกิจการรักษาพยาบาล “มุทิตา” คือ ภารกิจส่งเสริมวัฒนธรรมอันดีงาม และ “อุเบกขา” คือ การทำงานด้านการศึกษา


ปัจจุบันนี้ทุกคนต่างก็กังวลใจเมื่อลูกออกจากบ้าน เพราะพื้นที่ข้างนอกไม่ปลอดภัย เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุต่างๆ เช่นสุรา ยาเสพติด การพนันและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นต้น ในโลกนี้มีสองสิ่งที่รอไม่ได้ ต้องลงมือทำทันที คือ ทำความดีและความกตัญญูกตเวที เราต้องรักคนอื่นดุจพี่น้องของตนเอง พร้อมทั้งยกตัวอย่างคนไทยต่างจังหวัดในอดีต ที่จะเตรียมตุ่มน้ำน้อยตั้งไว้หน้าบ้าน ใครก็สามารถดื่มได้ นี่คือ “น้ำใจ” การให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ทว่าในปัจจุบัน “ตุ่มน้ำน้อย” เหล่านี้กลับหายไป เปลี่ยนเป็นป้ายห้ามจอดรถติดไว้หน้าบ้านแทน คุณสุชนถามว่า “ถ้าความดีและความเลวชักเย่อกัน ฝ่ายไหนจะชนะ” คำตอบก็คือ “ข้างที่มีคนมากจะชนะ” พร้อมทั้งแบ่งปันเรื่องราวการดูแลผู้ยากไร้ของฉือจี้

 

20160225-32-byjanyaporn resize

▲คุณเมตตา แซ่ชิว แบ่งปันชิวิตที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อมาทำงานฉือจี้ และขอให้ทุกคนใช้เวลาที่เหลืออยู่ทำความดี

 

“ทำดี” ต้องทำทันที
หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน ผู้เข้าอบรมได้ร่วมเรียนรู้การแสดงภาษามือประกอบเพลง “ครอบครัวเดียวกัน”ด้วยความตั้งใจ ก่อนที่นายแพทย์สมบูรณ์ นันทานิช จะออกมาแบ่งปัน การก่อเกิดอาสาสมัครฉือจี้ที่โพธาราม จังหวัดราชบุรี พัฒนาจนมีอาสาสมัครและทำกิจกรรมเพื่อชุมชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้ คือ ต้อง “ลงมือทำทันที” การเยี่ยมเยียนดูแลผู้ยากไร้ระยะยาว หรือที่ชาวฉือจี้เรียกว่า “ครอบครัวบุญคุณ” ทำให้อาสาสมัครฉือจี้ได้เรียนรู้มากมายจากการสัมผัสด้วยตนเอง จนเกิดความเข้าใจและมีพัฒนาการเรื่อยมา “ครอบครัวบุญคุณ” หรือผู้ที่รับความช่วยเหลือจากชาวฉือจี้นั้น คือ “ผู้มีพระคุณ” เพราะมีเขา เราจึงมีโอกาสได้ทำความดี


ต่อมาอาสาสมัครฉือจี้ คุณสุพัตรา แตงฮ้อ แบ่งปันรื่องราวของการดูแลครอบครัวบุญคุณที่โพธาราม คือ คุณยายน้อย ที่เปรียบท่านเป็นญาติผู้ใหญ่และคุณครูของอาสาสมัครฉือจี้ทุกคน หลังชมวีดิทัศน์จบ ผู้เข้าอบรมบางท่านก็ซาบซึ้งใจจนน้ำตาซึม


อาสาสมัครฉือจี้ คุณเมตตา แซ่ชิว แบ่งปันชีวิตของท่าน ก่อนและหลังเข้ามาเป็นอาสาสมัครฉือจี้ แนวคิดและมุมมองที่เปลี่ยนไป เมื่อได้สัมผัสกับธรรมะของท่านธรรมาจารย์เจิ้งเอี๋ยนผู้ก่อตั้งมูลนิธิฉือจี้ ทำให้ค้นพบความสุขที่แท้จริงของชีวิต โดยคุณเมตตาให้ผู้เข้าอบรมเล่นเกมส์ และถามว่าทุกท่าน ยังเหลือเวลาที่จะทำความดีบนโลกใบนี้อีกกี่ปี จึงต้องรีบลงมือทำ เพราะเราไม่รู้ว่า เราจะหมดโอกาสลงวันไหน

 

20160225-125-byjanyaporn resize

▲ผู้อบรมมาลงทะเบียนรับกระปุกออมบุญ

 

สรุปการเรียนรู้ สู่แรงบันดาลใจ ลงมือทำดี
หลังจากพักรับประทานอาหารว่างแล้ว ให้แบ่งกลุ่มเพื่อออกมาแบ่งปันว่าการอบรมในวันนี้ท่านได้เรียนรู้อะไรบ้าง
กลุ่มที่ 1 (กลุ่มอาสาสมัคร จิตอาสา) แบ่งปันว่า การอบรมในวันนี้ ทำให้ทราบถึงแนวคิดของพุทธฉือจี้ ศาสนาพุทธในประเทศไทยและไต้หวันล้วนเหมือนกัน พุทธฉือจี้นำแนวหลักธรรมมาปฏิบัติให้ทราบว่าทำอย่างไร คนเราถ้าใจไม่อาสา ก็ทำได้ไม่ยืนยาว เมื่อเรียนรู้มา ก็ต้องใช้ปัญญาไตร่ตรอง พิจารณาว่าควรทำตามหรือไม่ การให้ต้องคำนึงว่า ตรงตามความต้องการของเขาหรือไม่ เมื่อมีความเมตตาอยากจะช่วยใคร ย่อมเกิดปณิธานขึ้น คนเราต้องตั้งมั่นในการทำงาน จะทำอย่างไรให้ชีวิตมีคุณค่าต่อสังคม เราจะช่วยอะไรได้บ้าง ต้องชวนผู้อื่นมาทำความดีอย่างต่อเนื่อง ต้องรีบทำความดีมากยิ่งขึ้น


กลุ่มที่ 2 (กลุ่มพยาบาล) แบ่งปันว่า สิ่งที่ได้จากการอบรม คือ การทำหน้าที่พยาบาล จะต้องดูแลผู้ป่วยแบบญาติมิตร แสดงออกถึงความเมตตา โดยใช้ปัญญา ความกตัญญูต้องทำทันที คิดดี พูดดี ทำดี โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ความรักที่ได้ คือ คนของครอบครัวเดียวกัน


กลุ่มที่3 (อสม.) แบ่งปันว่า อสม. ก็ทำงานจิตอาสาทำงานอยู่แล้วในชุมชน สำหรับในโรงพยาบาลอยากสร้างทีมให้เข้มแข็ง แม้บางครั้งด้วยอาชีพและเวลาอาจจะไม่เอื้ออำนวย แต่ก็ต้องรู้จักบริหารเวลาให้ถูกต้อง การอบรมวันนี้ทำให้ทราบว่า การทำงานจิตอาสาช่วยเหลือผู้อื่นต้องทำด้วยใจ ถ้ามีการอบรมอีก ก็อยากมาร่วมมอีกเพื่อสร้างความเข้มแข็ง


กลุ่มที่4 (กลุ่มเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัย ) ได้ออกมาแสดงภาษามือประกอบเพลงครอบครัวเดียวกันก่อน แล้วจึงแบ่งปันว่า ขอบพระคุณที่ชักชวนให้มาอบรม ทุกคนต่างประทับใจมาก และจะทำงานด้วยใจมากกว่าหน้าที่ การดูแลครอบครัวบุญคุณสอนให้รู้จักลดอัตตา เห็นภาพคุณหมอช่วยครอบครัวบุญคุณขัดห้องส้วมรู้สึกประทับใจมาก เป็นแบบอย่างของการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน “พูดให้เข้าใจ ทำให้เห็น” โดยจะนำไปปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง ชีวิตคนเราสำคัญ ต้องรู้หน้าที่ของตน เริ่มได้จากตนเอง

 

สุดท้ายอาสาสมัครฉือจี้ คุณสุชน จึงได้ให้กำลังใจว่า ขอให้มีความตั้งใจและเดินหน้าต่อไป ต้องลงมือทำทันที อย่ารีรอ เพราะบ้านเมืองของเรากำลังป่วยหนัก หากมัวแต่รอ จะไม่ทันการณ์ หากทุกคนลงมือทำทันที ประเทศชาติจึงจะอยู่รอดปลอดภัย เพราะประเทศไทยของเรามีตาน้ำ 3 ตา หนึ่ง คือ “ผู้เกษียณอายุราชการ” ที่ต้องจับทิศทางให้ถูก สอง คือ “นิสิตนักศึกษา” ซึ่งมีมากทั่วแผ่นดิน ถ้ามาร่วมกิจกรรมกับฉือจี้ ก็จะได้เรียนรู้มากขึ้น สาม คือ “พระภิกษุสงฆ์” ถ้าเป็นผู้นำฉือจี้ (หมายถึง เมตตา สงเคราะห์) มาปรับเปลี่ยนร่วมกัน ทั้ง 3 ตาน้ำนี้ จะทำให้การแก้ปัญหาบ้านเมืองสำเร็จลุล่วงลงได้

 


เรื่อง สุพัตรา แตงฮ้อ   ภาพ จรรยพร เข้มแข็ง