คุณจิ้นหรงกัง ผู้ซึ่งมีความปีติช่วยเหลือคนยากจนเป็นทุนเดิม โดยก่อนที่จะเข้ามาเป็นอาสาสมัครฉือจี้ คุณจิ้นหรงกังให้การสนับสนุนฉือจี้อยู่เสมอ และเมื่อเข้ามาทำงานเป็นอาสา สมัครฉือจี้แล้ว แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวของฉือจี้ในตอนแรกเริ่ม หากยังกล้าหาญทุ่มเทเสียสละ จนกระทั่งได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมช่วยเหลือผู้ประสบวาตภัยที่ประเทศเมียนมาร์ในพ.ศ. 2551 เห็นถึงสภาพความยากลำบากของผู้ประสบภัยด้วยตนเอง ทำให้คุณจิ้นหรงกังรู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่ง อีกทั้งต้องพบเจอความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต จากการตรวจพบวิกฤตของสุขภาพในพ.ศ.2552 คุณจิ้นหรงกังจึงเข้าใจถึงความหมายของคำว่า “ไม่ทันแล้ว ไม่ทันแล้ว ” ที่ท่านธรรมจารย์มักพูดอยู่เสมอ
บุญสัมพันธ์สุกงอม ร่วมเดินบนวิถีโพธิสัตว์
อาสาสมัครฉือจี้ คุณจิ้นหรงกัง ทำธุรกิจและอาศัยอยู่ในเมืองไทยเกือบ 30 ปี ย้อนวันวานเล่าเรื่องราวในอดีตว่า ประมาณพ.ศ.2534 เห็นข่าวรับบริจาคของมูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวันบนหน้าหนังสือพิมพ์จีนฉบับหนึ่ง ครั้งนั้นคุณจิ้นหรงกังและคุณจางอิงหม่าน ผู้เป็นภรรยา จึงร่วมบริจาคเงินจำนวนหนึ่งกับทางมูลนิธิโดยไม่ประสงค์ออกนาม และภายหลังเมื่อก่อตั้งฉือจี้ขึ้นในเมืองไทย ทั้งสองยังได้ให้การสนับสนุนฉือจี้เรื่อยมา
จากนั้น ประมาณพ.ศ.2547 คุณจางอิงหม่าน เริ่มเข้ามาทำงานอาสาสมัครฉือจี้ในเมืองไทย ร่วมกิจกรรมต่างๆกับทางมูลนิธิ ในขณะเดียวกัน คุณจางอิงหม่านยังใช้วิธีต่างๆ โนมน้าวให้คุณจิ้นหรงกัง ซึ่งเดิมทีรู้จักเพียงว่า ฉือจี้เป็นองค์กรที่ทำความดีองค์กรหนึ่ง ให้ได้เข้าใจฉือจี้มากยิ่งขึ้น คุณจิ้นหรงกังแบ่งปันว่า “ผมยังจำได้เป็นอย่างดีว่า ก่อนที่ผมจะเข้ามาเป็นอาสาสมัครฉือจี้ คุณจางอิงหม่านมีความตั้งใจมาก เช่น ตอนที่เราไปทำงานที่บริษัท เธอก็จะแกล้งวางเอกสารฉือจี้ไว้บนโต๊ะให้ผมเห็น หรือไม่ก็จะเปิดเทปเกี่ยวกับการบรรยายฉือจี้ให้ผมฟัง เมื่อกลับไปถึงบ้าน เธอก็จะเปิดทีวีต้าอ้ายให้พวกเราได้ดูด้วยกัน ซึ่งมันทำให้ผมค่อยๆเข้าใจว่า แท้จริงแล้วฉือจี้คืออะไร” คุณจางอิงหม่านไม่เพียงโน้มน้าวให้คุณจิ้นหรงกังเข้ามาเป็นอาสาสมัครฉือจี้ แต่ภายหลังเมื่อคุณจิ้นหรงกังมีหน้าที่รับผิดชอบงานมูลนิธิ คุณจางอิงหม่านก็จะพยายามอยู่ดูแลงานบริษัท เป็นกำลังสำคัญคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เพื่อหวังให้คุณจิ้นหรงกังทุ่มเทช่วยเหลืองานฉือจี้ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งทำให้คุณจิ้นหรงกางรู้สึกขอบคุณอยู่เสมอ
จนกระทั่งปี พ.ศ.2551 ทำให้คุณจิ้นหรงกังได้มีโอกาสได้เดินทางไปร่วมทำงานจิตอาสา ช่วยเหลือผู้ประสบวาตภัยนาร์กีส ประเทศเมียนมาร์ ภาพความยากลำบากพี่น้องผู้ประสบภัย ที่ได้เห็นด้วยตาตนเอง ทำให้คุณจิ้นหรงกังรู้สึกสะเทือนใจ จึงตัดสินใจว่า หากกลับถึงเมืองไทยแล้ว จะมาร่วมทำงานกับฉือจี้ให้มากยิ่งขึ้น ทว่า ในพ.ศ.2552 คุณจิ้นหรงกังได้เดินทางไปตรวจร่างกายที่ไทเป พบว่า มีการอุดตันที่หลอดเลือดหัวใจทั้ง 3 เส้นในขั้นวิกฤต ตอนนั้นคุณหมอแนะนำให้รับการผ่าตัดบายพาสหัวใจเป็นการด่วน ถึงแม้ว่าการแพทย์สมัยปัจจุบันมีความก้าวหน้ามาก แต่การผ่าตัดก็ยังมีความเสี่ยง ทว่าด้วยกำลังใจจากคนในครอบครัว คุณจิ้นหรงกังจึงยินยอมรับการผ่าตัด ครั้งนั้นทำให้คุณจิ้นหรงกังนึกถึงคำที่ท่านธรรมาจารย์มักกล่าวไว้ว่า “ไม่ทันแล้ว ไม่ทันแล้ว” จึงตั้งใจไว้ว่าหากสุขภาพร่างกายแข็งแรงดังเดิม จะสละเวลามาร่วมไถหว่านนาบุญให้มากขึ้น
“เรียนรู้ขณะลงมือทำ ลงมือทำขณะเรียนรู้” ในหมู่มวลชน
ในช่วงต้นพ.ศ.2558 คุณจิ้นหรงกังรับหน้าที่ผู้ประสานงาน และจัดสรรทรัพยากรบุคคลใน “กิจกรรมบริการชุมชน รักษาพยาบาลฟรี” ก่อนวันจัดกิจกรรมดังกล่าว ไม่เพียงคอยติดต่อประสานงาน เข้าร่วมประชุมปรึกษาหารือกับคณะทำงาน เพื่อหาแนวทางทำให้เกิดความราบรื่นในกิจกรรมมากที่สุดแล้ว ในวันที่จัดกิจกรรมรักษาพยาบาลฟรีนั้น คุณจิ้นหรงกังยังทุ่มเทบริการผู้ที่มารับการรักษาด้วยความตั้งใจ
เต็นท์สีขาวขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่หลังอาคารสถานธรรมจิ้งซือ คือ จุดบริการกิจกรรมรักษาพยาบาลฟรีด่านแรก ภายในแบ่งออกเป็นหลายจุดบริการย่อย ได้แก่ จุดรับบัตรคิว จุดคัดกรองผู้ป่วย 1 และ 2 จุดตรวจทะเบียนผู้ป่วย จุดลงทะเบียนผู้ป่วย จุดซักประวัติผู้ป่วย จุดเปลี่ยนบัตรคิว จุดรอเรียกพบแพทย์และเรียนรู้เรื่องสุขภาพตามลำดับ ในวันปกติเต็นท์สีขาวขนาดใหญ่หลังนี้มักจะว่างโล่งและเงียบสงบ แต่หากเป็นวันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 4 ของทุกเดือน เต็นท์หลังนี้จะเปลี่ยนเป็นสถานที่จัดกิจกรรม “บริการชุมชน รักษาพยาบาลรี” ในวันดังกล่าวมีทั้งแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ และอาสาสมัคร มาให้บริการด้านการแพทย์แก่พี่น้องผู้มารับบริการรักษา ดังนั้น จึงจะเห็นว่ามีผู้คนมากมายและบรรยากาศค่อนข้างคึกคัก
“หมายเลข 58 เชิญครับ รอตรงนี้ก่อน ถ้าตรงนั้นว่างค่อยเข้าไปนะครับ” คุณจิ้นหรงกังใช้ภาษาอังกฤษ และภาษาท่าทางสื่อสารกับผู้มารับบริการรักษา ดูโดยรวมแล้ว อาจจะมองว่าเป็นหน้าที่ง่ายๆ แค่คอยเรียกคนมารับบริการในจุดต่างๆตามบัตรคิว และดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านั้น หากแต่การทำงานกับผู้มารับบริการรักษาที่มีความหลากหลายในด้านชนชาติ ภาษา และวัฒนธธรรมจำนวนหลายร้อยคน ล้วนเป็นงานที่มีความท้าทายมากในความเป็นจริง คุณจิ้นหรงกังแบ่งปันว่า “แต่ละครั้งเราก็จะพบว่ามีอุปสรรคแตกต่างกันไป เพราะว่าเราต้องให้บริการกับพี่น้องที่มาจาก 20-30 ประเทศ มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย และทุกครั้งที่จัดกิจกรรม เราก็จะพบเจอกับปัญหาบางอย่าง เช่น การสื่อสารไม่เข้าเข้าใจกัน หรือความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ฉะนั้น เราจึงต้องใช้ความอดทนเข้าไปชี้แจงให้พวกเขาเข้าใจ” ดังนั้น ไม่ว่าจะมีสถานการณ์ใดๆ คุณจิ้นหรงกังยังคงมีท่าทางสุขุมและใจเย็น ใช้ความสำนึกคุณขจัดอุปสรรคต่างๆที่พบเจอ
เรียนรู้การเสียสละ ขจัดความทุกข์ในใจตน
ด้วยบุญสัมพันธ์อันดีมากมาย ทำให้ในหลายปีที่ผ่านมา คุณจิ้นหรงกังได้มีโอกาสร่วมเรียนรู้งานในครอบครัวแห่งรักอันยิ่งใหญ่ของฉือจี้ ทุ่มเทแรงใจทำงานในทีมคณะบริหารของมูลนิธิ ทุ่มเทแรงกายลงสู่ชุมชน ร่วมกิจกรรมช่วยเหลือผู้คน ซึ่งวันเวลาที่ผ่านมา คุณจิ้นหรงกังก็ค่อยๆขัดเกลาอุปนิสัยที่ไม่ดีของตนไปด้วย “แต่ก่อนผมเป็นคนอารมณ์ร้อน เอาความคิดตัวเองเป็นหลัก ไม่ค่อยจะยอมรับความคิดของคนอื่น เมื่อได้มาร่วมเป็นอาสาสมัครในสถานธรรมแห่งนี้ ผมค่อยๆเรียนรู้การปล่อยวาง การให้อภัยผู้อื่น รู้จักฟังความคิดเห็นของคนอื่นมากขึ้น หากมีเรื่องอะไรก็ปรึกษาพูดคุยกับคนอื่น ผมคิดว่า พลังคนๆเดียวมันมีจำกัด แต่ถ้าเป็นพลังของหลายๆคนรวมกัน จึงจะสามารถช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนได้มากขึ้น ”
การเดินในวิถีพระโพธิสัตว์ฉือจี้ คุณจิ้นหรงกังได้มีโอกาสศึกษาธรรมะ ฟังคำสอนท่านธรรมาจารย์ และนำมาฝึกปฏิบัติตน การเปลี่ยนแปลงที่ดีเช่นนี้ไม่เพียงส่งผลดีต่อตัวเอง ยังช่วยสานความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวให้ดียิ่งขึ้น คุณจิ้นหรงกังแบ่งปันว่า มีบางครั้งความคิดของเขากับภรรยาไม่ค่อยตรงกัน จึงมักเกิดการทะเลาะกับเป็นประจำ แต่ปัจจุบัน การทะเลาะกันของพวกเขาค่อยๆลดน้อยลงแล้ว “หลังจากเราได้ศึกษาธรรมะแล้ว ทำให้เราปรับเปลี่ยนความคิดเร็วขึ้น ไม่เหมือนแต่ก่อน เมื่อมีเรื่องวุ่นวายใจ อาจจะต้องใช้เวลา 2 วัน 3 วัน หรือบางครั้งนานเป็นสัปดาห์จึงจะคิดได้ แต่ตอนนี้ ถ้าเกิดเรื่องไม่สบายใจขึ้นมา ใช้เวลาแค่ 15 นาที หรือ ครึ่งชั่วโมงก็ไม่คิดอะไรมากแล้ว เหมือนกับว่าความดีงามมันอยู่ในความคิดเรา ทำให้ความคิดแย่ๆอยู่กับเราไม่นานครับ”
อย่างไรก็ตาม คุณจิ้นหรงกังยังแบ่งปันอย่างถ่อมตนว่า “ตนยังอยู่ในระหว่างการเรียนรู้ และมีพื้นที่ว่างให้พัฒนาตนอีกมาก และขอขอบพระคุณอาสาสมัครฉือจี้ทุกท่าน ที่ให้โอกาสมากมายให้ตนได้เรียนรู้” คุณจิ้นหรงกังยังแบ่งปันต่ออีกว่า หากเป็นช่วงที่อยู่ในเมืองไทย จะพยายามตื่นแต่เช้าตรู่ เพื่อเดินทางมาฟังธรรมะยามเช้าที่สถานธรรมจิ้งซือ เมื่อฟังธรรมะจากท่านธรรมาจารย์แล้ว คุณจิ้นหรงกังจะไปออกกำลังกาย เดินเร็วที่สวนหลวง ร.9 ทั้งนี้เพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกายนั่นเอง เมื่อหายเหนื่อยจากการออกกำลังกายแล้ว จะตรวจเช็คดูว่าที่มูลนิธิยังมีงานให้ช่วยเหลือหรือไม่ หากมีงานให้ช่วยเหลือ คุณจิ้นหรงกังก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“เกิดเป็นมนุษย์อันว่ายาก หากแต่ท่านได้เป็นแล้ว ฟังธรรมะอันยากจะได้ฟัง หากแต่ท่านได้ฟังแล้ว” หากไม่ใช้โอกาสที่ได้เกิดมนุษย์เพียรบำเพ็ญตน จะต้องใช้โอกาสที่จะเกิดเป็นสิ่งใดกันเล่า? ฉะนั้น เราควรไขว่คว้าโอกาสที่มี หมั่นทำบุญ กตัญญุต่อผู้มีพระคุณ ตราบจนชีวิตนี้จะสามารถทำได้ เริ่มแรกที่เข้ามาเป็นอาสาสมัครฉือจี้ เส้นทางที่ก้าวเดินผ่านมา คุณจิ้นหรงกังทั้งมุ่งเดินไปข้างหน้าและปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น ในขณะที่ทุ่มเทเสียสละ คุณจิ้นหรงกัง“ทำด้วยความปีติ รับด้วยความยินดี” ค่อยๆเข้าใจคนอื่น เรียนรู้ปรับเปลี่ยนแนวคิด และขจัดความทุกข์ในใจตน
ช่วงต้นพ.ศ.2558 รับหน้าที่ผู้ประสานงาน และจัดสรรทรัพยากรบุคคลใน “กิจกรรมบริการชุมชน รักษาพยาบาลฟรี”
แม้จะต้องพบการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้ง ยังคงมีท่าทางสุขุมและใจเย็น ใช้ความสำนึกคุณขจัดอุปสรรคต่างๆที่พบเจอ
เรียนรู้ขณะลงมือทำ ลงมือทำขณะเรียนรู้ และขจัดความทุกข์ในใจตน
ไม่เพียงทุ่มเทเสียสละด้วยความยินดี ยังเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมกิจกรรมกับฉือจี้อยู่บ่อยครั้ง
เรื่อง ดรรชนี สุระเทพ ภาพ รัตนโชติ ประมวลทรัพย์ | คุณพิณญ์ธิชา จันทร์สุขศรี | บุษรา สมบัติ