การจะทำให้จิตใจของคนเรา สงบ บริสุทธิ์ ไม่ฟุ้งซ่านได้นั้นไม่ง่ายเลย เราจึงต้องระมัดระวัง หมั่นฟังเสียงสะท้อนภายในจิตใจของตนเอง เพราะเสียงในจิตใจนี้ก็คือกิเลส แท้จริงแล้วเรามี "อกุศลจิต" หรือ "กุศลจิต" มากกว่ากัน
หากสามารถแยกแยะได้ เมื่อเกิดอกุศลจิตขึ้น ก็ต้องรีบเตือนสติ ให้ขจัดออกไป เมื่ออกุศลจิตไม่เกิด ก็อย่าปล่อยให้เกิดขึ้นมาได้ หากกุศลจิตยังไม่เกิด ก็ต้องรีบอาศัยปัจจัยดีต่างๆ เพื่อสร้างบุญสัมพันธ์ที่ดีต่อไป เมื่อกุศลจิตเกิดขึ้นแล้วก็ต้องเสริมให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
"จิต" เปรียบเสมือนผืนดิน ปลูกเมล็ดพันธุ์อะไรลงไป ก็ย่อมจะได้ผลสิ่งนั้น เราจึงต้องระมัดระวังความคิดที่ฝังอยู่ภายในจิตใจของเราให้ดีว่าเป็นแบบไหน เพราะผู้คนล้วนมีความโลภ เมื่อใจมีความโลภ เห็นอะไร ก็ย่อมจะเกิดความโลภขึ้น ต่อมาก็คือความอยาก ทุกคนมีความอยากตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะอยากกิน อยากได้ อยากรวย อยากได้ผลประโยชน์ อยากมีชื่อเสียง แล้วยังมีอยากในกาม เป็นต้น กิเลสจากความโง่เขลาเช่นนี้ ล้วนฝังอยู่ในใจเรา
รูปโดย พิพัฒน์ ทิพย์ธวัชวงศา
สามีภรรยาแย่งขนมเปี๊ยะ
สามีภรรยาคู่หนึ่ง ซึ่งความเป็นอยู่ไม่ค่อยดีนัก มักจะเป็นทุกข์เพราะเรื่องปากท้อง ครั้งหนึ่งมีขนมเปี๊ยะสามชิ้น ทั้งสองต่างก็ดีใจ เธอกินหนึ่งชิ้น ฉันกินหนึ่งชิ้น ต่างคนต่างกินกันอย่างมีความสุข แต่ว่าเมื่อมื้อนี้ได้กินกันคนละชิ้นจนอิ่มแล้ว จึงเหลือขนมเปี๊ยะอีกเพียงชิ้นเดียว จะทำอย่างไรกันดี
สามีจึงเอ่ยขึ้นว่า "ชิ้นนี้เป็นของฉัน"
ภรรยาก็บอกว่า "ฉันทำงานบ้านลำบากกว่า ชิ้นนี้จึงต้องเป็นของฉัน"
ทั้งสองต่างก็แย่งขนมเปี๊ยะชิ้นนั้น จนกระทั่งคิดหาวิธีการได้
"เรามาเดิมพันกัน คนที่ชนะจะได้กิน คนแพ้ก็ต้องดูคนชนะกินไป"
"ได้เลย จะเดิมพันด้วยวิธีไหน"
"เดิมพันด้วยการห้ามพูด เธอและฉันห้ามเอ่ยปากพูดเด็ดขาด ใครพูดก่อนแพ้"
"ได้เลย"
ครั้นแล้วสองสามีภรรยาจึงเริ่มไม่พูดไม่จา เอาแต่จ้องมองขนมเปี๊ยะ
ในตอนนั้นเอง ขโมยก็มา เมื่อเห็นสองสามีภรรยามัวแต่นั่งไม่พูดไม่จากัน จึงเข้ามาในบ้าน ทั้งสองยังคงไม่เอ่ยปากพูด เมื่อขโมยเห็นทั้งสองไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จึงเข้าไปขนข้าวของที่มีราคาในบ้าน ใส่รวมกันไว้ในถุงจนหมด แต่สองสามีภรรยา ก็ยังไม่พูดไม่จา ขโมยคิดว่าขนของไปมากมาย ทั้งสองก็ยังไม่ว่าอะไร เมื่อเห็นภรรยาหน้าตาใช้ได้ จึงคิดจะทำมิดีมิร้าย แต่สามีก็ยังไม่ยอมพูดอะไร ฝ่ายภรรยาเมื่อถูกล่วงเกินจนรับไม่ได้แล้ว จึงได้ตะโกนขึ้นว่า "แกไม่เห็นรึ ว่าฉันถูกเจ้าคนนี้ล่วงเกินอยู่" สามีจึงเปิดปากพูดว่า "ฮ่าฮ่า ขนมเปี๊ยะเป็นของข้าแล้ว"
ดูสิ สามีภรรยาผู้โง่เขลา เพื่อขนมเปี๊ยะเพียงชิ้นเดียว ทำให้ไม่สนใจเรื่องใหญ่ใดๆ เลย พระพุทธองค์ทรงยกตัวอย่างเรื่องนี้ มาเปรียบเปรยถึงความโลภและความโง่เขลาของปุถุชน เพียงเพื่อผลประโยชน์เล็กน้อย แต่กลับทำสิ่งที่โง่เขลาเบาปัญญา นี่ก็คือ "คนเขลา" เรายังได้เห็นคนจำนวนมาก ที่เมื่อถามเขาว่า "คุณสามารถเลิกบุหรี่ได้ไหม" บุหรี่มวนนิดเดียว สูบเข้าไปเพื่อให้ผ่อนคลายเพียงชั่วครู่ ไม่ได้ช่วยให้อิ่มท้อง และยังเป็นโทษต่ออวัยวะภายใน แต่จะบอกให้เขาเลิก กลับยากเย็นแสนเข็ญ
เพื่อตอบสนองความอยากจากกิเลสที่ฝังลึกในจิตใจ จะให้เขาเลิก ก็แสนยากลำบาก หรือบอกว่าดื่มสุราไม่ดี ดื่มเข้าไปก็เหมือนเอามีดกรีดกระเพาะ แม้รู้ว่าไม่ดี แต่จะให้เลิกก็ทรมานยิ่งนัก เลิกไม่ได้ ยอมทำร้ายร่างกายตนเอง แต่ไม่สามารถควบคุมความอยากสุราได้ นี่ก็คือปุถุชน มีกิเลสความอยากกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ การดื่มสุรา ไม่เพียงทำร้ายร่างกายของตนเอง แต่ยังเปลี่ยนพฤติกรรมของเราด้วย เดิมเป็นคนดีซื่อสัตย์ แต่พอดื่มสุราเข้าไป กลับก่อเรื่องชกต่อยทะเลาะวิวาท ด่าทอผู้อื่น พฤติกรรมต่างๆ ออกมาหมด ทั้งๆ ที่รู้ว่าเมาแล้ว จะคุมสติไม่อยู่ แต่ก็ยังจะดื่ม นั่นเพราะเมื่อกิเลสความอยากนี้ฝังลึกในใจ เมื่อควบคุมความอยากของตนเองไม่ได้ ก็เป็นความทุกข์ประการหนึ่ง
ที่จริงปุถุชนอย่างเรา ล้วนก่อกรรมไว้มากมาย บางคนโลภมาก อยากมีอยากได้หลายสิ่งหลายอย่าง เห็นอะไรก็อยากได้มาครอบครอง ไม่ว่าจะเป็นอำนาจเงินทอง ชื่อเสียงและเกียรติยศ อยากได้ไปเสียทุกอย่าง ขอเพียงเป็นสิ่งที่อยากได้ แม้จะไม่ได้อยู่ตรงหน้า แม้จะมองไม่เห็น ก็ยังคิดวางแผนหามาครอบครอง นี่จึงเป็นการนำความทุกข์มาสู่จิตใจ
ดังนั้นเมื่อเราบำเพ็ญตน จึงต้องหมั่นขจัดกิเลสภายในจิตใจอยู่เสมอ ทุกเช้าต้องฟังเสียงจิตใจของตน ต้องแยกแยะอกุศลจิตและกุศลจิตให้ได้ ต้องรีบขจัดอกุศลจิตและเพิ่มพูนกุศลจิต เพราะหากเกิดความอยากมีอยากได้ขึ้นภายในจิตใจ แต่กลับไม่สามารถเอามาได้ หากเมล็ดพันธุ์นี้ ถูกฝังอยู่ภายในจิตใจของเรา ย่อมเป็นทุกข์ทรมาน ดังนั้นเราจึงต้องตั้งใจระมัดระวัง บำเพ็ญตนอยู่เสมอ