คำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสไว้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นสัจธรรม ทว่ามนุษย์เราก็ยังก่อกรรมทำเข็ญด้วยความเขลา แม้ได้ฟังธรรม แต่ก็ไม่เชื่อ ดังนั้นตั้งแต่เกิดจนตายจึงก่อกรรมทำเข็ญโดยไม่หยุดหย่อน นี่ก็คือมนุษย์
แม้หลายคนจะเข้าใจในสัจธรรม แต่กลับไม่สามารถปฏิบัติตามได้ ทั้งๆ ที่รู้ แต่ก็ยังทำไม่ได้ แม้จะอธิบายได้ แต่ตนเองก็ใช่ว่าจะเชื่อในกฎแห่งกรรมอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงไม่รู้จักรักตัวเองด้วยการชะล้างกายใจให้บริสุทธิ์ ไม่รู้จักรักผู้อื่นด้วยการเสียสละ นี่จึงเป็นเหตุให้ตนเองก่อกรรมทำเข็ญไม่หยุดหย่อน จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งนัก
ภาพโดย ศุภักษร ธิกา
ผลกรรมที่แตกต่างระหว่างสองพี่น้อง
ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีครอบครัวที่ร่ำรวยมาก ผู้เป็นบิดามีบุตรชายที่ว่านอนสอนง่ายอยู่ 2 คน เมื่อบิดาแก่ชราลง จึงบอกกับบุตรชายทั้งสองว่า “สิ่งที่พ่อจะมอบให้ลูกนั้น ไม่ใช่กิจการที่มากมาย แต่สิ่งที่พ่อต้องการจะให้ คือคุณธรรมจรรยา ขอให้ลูกทั้งสองเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม หมั่นทำบุญสร้างกุศล เพราะทรัพย์สินนั้นเราครอบครองได้เพียงแค่ชั่วคราว แต่สิ่งที่จะจีรังยั่งยืนนั่นก็คือ อริยทรัพย์”
ไม่นานผู้เป็นพ่อก็ได้เสียชีวิตลง นำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจให้กับบุตรชายทั้งสอง บุตรชายคนโตนึกถึงคำสั่งเสียของพ่อว่า ต้องรู้จักรักษาอริยทรัพย์ มิใช่ทรัพย์สินเงินทองพวกนี้ ดังนั้น หลังจากที่พ่อได้เสียชีวิตไป เขาจึงมักจะไปวัด เพื่อศึกษาว่าอะไรคืออริยทรัพย์ เขาศึกษาธรรมะไปพร้อมกับทำบุญด้วยความปีติ ทว่าน้องชายของเขากลับรู้สึกว่า ทุกวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ พี่ชายมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการศึกษาธรรมะ โดยทิ้งกิจการของครอบครัวให้เขาดูแลแต่เพียงลำพัง
วันหนึ่ง น้องชายได้พูดกับพี่ชายว่า “ทำไมพี่ไม่ช่วยดูแลกิจการของครอบครัวเลย”
พี่ชายจึงพูดว่า “พี่คิดว่า คำสั่งเสียของพ่อที่ว่า ทรัพย์สินมากมายที่ท่านมอบให้เรานั้นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน อริยทรัพย์ต่างหากจึงจะเป็นสิ่งที่จีรังยั่งยืน พี่อยากจะรักษาร่างกายที่พ่อแม่ให้มานี้ สร้างบุญสร้างกุศล อุทิศให้กับท่านทั้งสอง”
น้องชายถามว่า “แล้วพี่จะใช้ร่างกายของพี่สร้างกุศลได้อย่างไร”
พี่ชายจึงตอบว่า “พี่จะเดินบนเส้นทางแห่งพระพุทธศาสนา ใช้ร่างกายที่พ่อแม่ให้มานี้ อุทิศให้กับพระรัตนตรัย”
นับจากนั้นเป็นต้นมา พี่ชายจึงตั้งใจศึกษาพระธรรมคำสอน และได้ออกบวชในเวลาต่อมา ส่วนน้องชายก็ดูแลกิจการของครอบครัว จนเวลาล่วงเลยไปกว่า 30 ปี กิจการได้ขยายใหญ่โตมากขึ้น แต่ตัวเขาเองก็แก่ชรา ล้มป่วย และเสียชีวิตลงในที่สุด
4-5 ปีต่อมา วัวตัวหนึ่งกำลังไถนา โดยต้องลากสิ่งของที่แสนหนักด้วยความเหน็ดเหนื่อย เกวียนที่ปกติใช้บรรทุกแค่ 8 ส่วน ก็นำมาบรรทุกสิ่งของเต็มทั้ง 10 ส่วน มันลากเกวียนไปเรื่อยๆ เมื่อเหนื่อยจนไม่อยากเดินต่อแล้ว ชาวนาก็เฆี่ยนตีมัน วันแล้ววันเล่า ที่วัวตัวนี้ลากสิ่งของอย่างลำบากตรากตรำ มิหนำซ้ำทั่วร่างกายยังเต็มไปด้วยรอยแผลเฆี่ยนตีจากแส้
วันหนึ่ง นักบวชได้เดินทางผ่านมายังหมู่บ้านซึ่งเป็นบ้านเกิดของตน ขณะที่กำลังจะเดินผ่านไปนั้น วัวตัวหนึ่งซึ่งเพิ่งจะไถนาเสร็จ และกำลังจะเดินทางกลับบ้านไปพร้อมกับชาวนา เมื่อมันมองเห็นนักบวช ก็รีบคุกเข่าลง พร้อมกับแหงนหน้ามองนักบวชด้วยน้ำตาที่ไหลรินนองหน้า ส่วนนักบวชนั้น เมื่อมองท่าทางของวัวตัวดังกล่าว จึงคิดขึ้นได้ทันทีว่า “เจ้าเป็นน้องชายของเราใช่หรือไม่” เมื่อวัวได้ยินนักบวชพูดเช่นนั้น มันยิ่งร้องไห้ด้วยความเวทนามากยิ่งขึ้น ก่อนจะก้มหัวลงบนหลังเท้าของนักบวช ราวกับกำลังตอบรับ แสดงความเคารพและสำนึกผิด
เมื่อทราบว่าวัวตัวนี้เป็นน้องชายของตน นักบวชจึงได้พูดกับชาวนาว่า “อาตมาขอซื้อวัวตัวนี้จากโยมได้หรือไม่ โยมจะขายเท่าไรหรือ” เมื่อเห็นถึงความเมตตาของนักบวช ชาวนาจึงพูดว่า “ขอถวายวัวตัวนี้ให้แด่ท่าน” จากนั้นนักบวชจึงได้จูงวัวตัวนี้ไปอยู่ที่วัดด้วย ทุกวันเมื่อมีผู้คนมาที่โบสถ์ มันก็เหมือนได้ไหว้พระพร้อมกับทุกคน เมื่อเหล่านักบวชแสดงธรรม มันก็ฟังธรรมไปด้วยอย่างเงียบๆ มันใช้ชีวิตแต่ละวันอยู่ในวัดด้วยความสงบสุข
จากเรื่องเล่าข้างต้น ทำให้เข้าใจได้ว่า หากเรามีความเขลา เราก็จะยิ่งสร้างกรรมหนักมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเราจึงควรเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว อย่ามัวแต่คิดอยากมีอยากได้ จนไม่รู้สำนึกในกฎแห่งกรรม โดยไม่รู้ว่า ตอนที่เราเกิดมานั้น ทุกคนล้วนมาตัวเปล่า เมื่อจะไป ก็ต้องไปตัวเปล่า มีเพียงผลกรรมเท่านั้นที่จะติดตัวเราไป ตลอดชีวิตที่ผ่านมา หากไม่รู้จักทำความดี สั่งสมบุญกุศล เมื่อถึงบั้นปลายของชีวิต ผลกรรมย่อมส่งผลไปถึงภายภาคหน้า หากไม่มีเหตุแห่งกุศลบุญ เมื่อสิ้นอายุขัยแล้ว ย่อมตกไปอยู่ในทุคติภูมิ
ทุคติภูมิมีหลายประการ สรุปได้ 3 ภพภูมิ คือ ภพภูมิของสัตว์เดรัจฉาน ภพภูมิของเปรต และภพภูมินรก ดังเรื่องเล่าข้างต้น น้องชายซึ่งไม่เชื่อในกฎแห่งกรรม แม้ตลอดชีวิตจะทำมาหากิน จนมีทรัพย์สินมากมาย แต่เมื่อตายไป เขากลับไปเกิดในภพภูมิของสัตว์เดรัจฉาน โดยเกิดเป็นวัว ซึ่งต้องตรากตรำลากจูงสิ่งของหนัก
ดังนั้น เราจึงควรตระหนักในกฎแห่งกรรม ใจต้องหมั่นบำเพ็ญธรรม กายต้องหมั่นสร้างกุศล เพื่อสั่งสมอริยทรัพย์ให้ตัวเราเองในภายภาคหน้า