ไม่ว่าเวลาจะผ่านพ้นไปนานเท่าไร เราก็ยังคงต้องแน่วแน่ในปณิธาน ต้องตั้งมั่นในการโปรดสรรพชีวิต ซึ่งเป็นจิตแรกเริ่มของเรา เมื่อตั้งใจแล้ว ก็ต้องมีปณิธานที่แน่วแน่ ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ ซื่อตรง สัจจะ สมถะ โดยนำมาปฏิบัติและปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
การจะมีคุณธรรมที่สมบูรณ์พร้อม เพื่อจะบรรลุถึงพุทธธรรมได้นั้น ตลอดระยะเวลาอันยาวนานนี้ เราต้องรักษาคุณธรรมให้สมบูรณ์พร้อม ทุกชาติทุกภพไป ดังนั้น หลักการของความเป็นมนุษย์ จะต้องมีความซื่อสัตย์ จริงใจ ตั้งมั่นในความสัตย์และบริสุทธิ์ใจ นอกจากนี้ยังต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความอ่อนโยน ทั้งอ่อนโยนและจริงใจ ใครเห็นใครก็รักและอยากเข้ามาใกล้ชิด เพราะพวกเขาเห็นถึงความอ่อนโยนที่เราแสดงออกมา ภายในจิตใจก็ยังมีความซื่อตรง เมื่อเรามีความซื่อตรง จริงใจ เราก็จะมีคุณค่าของความเป็นคน เป็นผู้มีคุณธรรมที่สมบูรณ์
ทุกวันเราต้องปฏิบัติในทางที่ควร เดินตามวิถีที่ถูกต้อง ทำในสิ่งที่ควรทำ แต่ไม่หลีกหนีจากหมู่ชน ปกติเรามักจะคิดว่า เราจะโปรดผู้คนที่มีบุญสัมพันธ์กับเรา พระพุทธองค์ก็ตรัสเช่นนี้ “โปรดผู้ที่มีบุญสัมพันธ์” แต่ถ้าไม่มีล่ะ เราจะไม่โปรดเลยหรือ
ไม่ใช่แน่นอน ผู้ที่ไม่มีบุญสัมพันธ์ต่อกัน แล้วเราจะไปผูกสัมพันธ์อย่างไร ก็ต้องทำให้มีบุญสัมพันธ์ต่อกันก่อน เปลี่ยนความเกลียดชัง ให้เป็นการขอบพระคุณซึ่งกันและกัน นี่เป็นสิ่งที่ทำได้
รูปโดย รติกร มณีฉาย
นักบวชกับเศรษฐี
มีนักบวชรูปหนึ่งได้ออกจากวัดเพื่อเข้าไปในเมือง ขณะที่เดินทางกลับ ก็จวนจะมืดแล้ว ทันใดนั้น ก็เกิดฟ้าแลบฟ้าร้อง ฝนตกหนักขึ้น เพื่อความปลอดภัย เขาจึงรีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อหาที่หลบฝน เพราะดูแล้วฝนคงจะตกอีกนาน ข้างหน้ามีบ้านหลังหนึ่ง นักบวชจึงวิ่งไปยังบ้านหลังนั้น แล้วเคาะประตูเรียก
“มีธุระอะไรหรือ”
“ฝนตกหนักขนาดนี้ ขอเข้าไปหลบฝนในบ้านได้ไหม”
“นายข้าไม่มีบุญวาสนากับนักบวช เขาไม่ให้ท่านเข้ามาหรอก”
นักบวชยังคงรบเร้าขอเข้าไป ยามเฝ้าประตูจึงบอกว่า
“ต้องเข้าไปถามนายของข้าก่อน หากท่านอนุญาต ข้าจะเปิดประตูให้ท่านเข้ามา”
นักบวชยังคงขอร้อง โดยยืนรออยู่ด้านนอกอย่างเปียกปอน
ในที่สุดยามก็ออกมาตอบว่า “นายข้าไม่ยินยอม ขออภัยด้วย”
นักบวชจึงจำต้องเดินต่อไป แต่ฝนก็ยังตกหนัก เขาจึงกลับมาขอร้อง
“อาตมาไม่เข้าไปในบ้าน แต่ขอหลบอยู่ใต้ชายคา ให้อาตมาได้พักสักหน่อยได้ไหม”
“ถ้าจะให้ดี อย่าเลยดีกว่า เพราะนายข้าไม่อยากเกี่ยวข้องกับนักบวชแต่อย่างใด”
นักบวชจึงจำเป็นต้องเดินตากฝนกลับวัดไปในคืนนั้น
สามปีผ่านไป เจ้าของบ้านหลังนี้ ได้แต่งอนุภรรยาเข้าบ้าน ซึ่งเธอผู้นี้ชอบไหว้พระ เขาจึงพาอนุภรรยาไปที่วัด แล้วเดินดูรอบๆ ก็เห็นมีชื่อของตนอยู่บนป้าย “ผู้มีคุณความดี อายุยืนยาว” จึงรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก
พอดีมีเณรน้อยกวาดพื้นอยู่ เศรษฐีจึงถามว่า “บนแท่นผู้มีคุณความดี อายุยืนยาว ทำไมจึงมีชื่อข้าจารึกไว้”
เณรน้อยตอบว่า “ข้าก็ไม่ทราบว่าเป็นชื่อของใคร เพราะเมื่อสามปีก่อน อาจารย์ข้าเดินตากฝนกลับมา ท่านเล่าว่า วันนี้ข้าไม่มีบุญสัมพันธ์กับคนผู้หนึ่ง แล้วท่านก็เขียนตัวอักษรไว้บนป้าย วางบนแท่น ‘ผู้มีคุณความดี อายุยืนยาว’ พร้อมทั้งสวดมนต์แผ่เมตตาให้ เพื่อเปลี่ยนจากการไร้วาสนาต่อกัน ให้เป็นมีบุญสัมพันธ์ต่อกัน”
เศรษฐีผู้นั้นฟังแล้วรู้สึกละอายใจยิ่งนัก “เมื่อสามปีก่อน มีนักบวชท่านหนึ่ง ยืนตากฝนอยู่นอกบ้าน จะมาขออาศัยหลบฝน ตอนนั้นทำไมข้าถึงมีใจรังเกียจหนอ ทว่านักบวชไม่เพียงไม่รู้สึกแค้นเคือง แต่ยังเขียนชื่อวางไว้บนแท่น เพื่ออวยพรให้ข้าร่มเย็นเป็นสุขอีกต่างหาก” เขารู้สึกละอายใจยิ่งนัก นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เศรษฐีผู้นี้จึงกลายเป็นผู้อุปถัมภ์หลักของวัด
เรามักพูดเสมอว่า บนเส้นทางพระโพธิสัตว์ เราต้องผูกบุญสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เราต้องมีเมตตากรุณาต่อสรรพชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน กับผู้ที่ช่วยเหลือเรา เราต้องขอบพระคุณ กับผู้ที่ไม่ช่วยเหลือเราหรือใส่ร้ายเรา เราก็ต้องเคารพเขา เราต้องมีความรักต่อทุกคนเหมือนกัน นี่คือความเมตตากรุณาอย่างเท่าเทียม
ตอนนั้นนักบวชมาขออาศัยหลบฝน ทั้งๆ ที่ฝนตกหนัก แต่กลับไม่ได้รับความช่วยเหลือ นักบวชรู้ดีว่า เพราะไม่มีบุญสัมพันธ์กับเจ้าของบ้านผู้นี้ ในเมื่อที่ผ่านมาไม่มีบุญสัมพันธ์ต่อกัน ก็ต้องเปลี่ยนให้เป็นมีบุญสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แม้นี่จะเป็นแค่นิทาน แต่เราก็ต้องยึดเป็นแนวทางในการปฏิบัติของเรา ดังนั้น เราจึงต้องปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความเมตตากรุณาอย่างเสมอภาคกัน
ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะดีหรือร้าย เราก็หวังว่าจะมีบุญวาสนาไปโปรดพวกเขา เราทุกคนต่างต้องใช้ระยะเวลาในการทำความดี สร้างบุญกุศล ผูกบุญสัมพันธ์กับผู้อื่น ดังนั้น เราจึงต้องลงมือปฏิบัติ การปฏิบัติเราจะต้องมีจิตใจที่แน่วแน่ ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ ซื่อตรง สัจจะ สมถะ ฝึกตนให้อ่อนโยนแต่ตรงไปตรงมา ก้าวเดินบนเส้นทางโพธิสัตว์ให้ดี เดินในวิถีทางที่ถูกต้อง และต้องเดินเข้าสู่มวลชน