เราซึ่งเป็นผู้ศึกษาธรรมะ ควรต้องใจกว้างจิตบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่แสนง่ายดาย นั่นก็คือ ต้องเปิดใจให้กว้างขึ้นอีกนิด คิดให้บริสุทธิ์ขึ้นอีกหน่อย อย่าคิดให้ซับซ้อน และต้องรู้จักอยู่กับความจริงในปัจจุบัน หน้าที่ของเราในวันนี้คืออะไร เราควรปฏิบัติธรรมอย่างไร เราจะรับผิดชอบต่อตนเองอย่างไร เราจะขจัดความว้าวุ่นได้อย่างไร นี่จึงจะเป็นวิธีการดูแลสุขภาพจิตให้แข็งแรงอย่างแท้จริง
ในการปฏิบัติธรรม ถ้ายังอาวรณ์กับอดีต ก็จะถูกความว้าวุ่นใจทับถมลงอีก ดังนั้น เราจึงต้องระมัดระวัง อย่าอาลัยอาวรณ์กับอดีต อย่าปล่อยให้จิตใจยึดติดกับเรื่องราวที่ผ่านพ้นไปแล้ว จนเหนี่ยวรั้งทั้งปัจจุบันและอนาคตไว้อย่างไม่สิ้นสุด เมื่อเกี่ยวพันอย่างไม่สิ้นสุด ความว้าวุ่นใจก็จะไม่หยุดหย่อน ดังนั้น พวกเราต้องคิดให้ถี่ถ้วน ว่าจะลดความว้าวุ่นใจได้อย่างไร และอะไรคือคุณค่าของชีวิต
รูปภาพโดย บุษรา สมบัติ
คุณค่าของก้อนหิน
มีลูกศิษย์ผู้หนึ่ง ได้ออกบวชตามพระอาจารย์ โดยศิษย์ผู้นี้มักครุ่นคิดอยู่เสมอว่า แท้จริงแล้วคุณค่าของชีวิตอยู่ที่อะไร พร้อมทั้งมักจะถามอาจารย์ถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราว ชีวิต และคุณค่าต่างๆ จนวันหนึ่ง เมื่ออาจารย์ถูกซักถามมากเข้าจนหนักใจ จึงได้บอกกับลูกศิษย์ว่า “มานี่ เจ้าจงเอาหินก้อนนี้ไปขายที่ตลาด ถ้ามีคนเสนอราคาดีๆ ให้ ก็จงอย่าเพิ่งขายไป”
เมื่อผู้คนในตลาดเห็นหินที่ถูกนำมาขาย ก็บอกว่า “หินก้อนนี้ใหญ่และสวยดี” จึงเสนอราคาให้ 2 เหรียญ “2 เหรียญแล้วกัน” แต่บางคนก็พูดขึ้นว่า “หินก้อนนี้ยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีก เอาไปทำลูกตุ้มถ่วงตาชั่งก็ได้” ดังนั้น จึงเสนอราคาให้ 10 เหรียญ เมื่อมีคนเสนอราคาให้ 10 เหรียญ ลูกศิษย์ผู้นี้ก็รู้สึกดีใจมาก หินแค่ก้อนเดียว จาก 2 เหรียญ ราคาขึ้นเป็น 10 เหรียญ ลูกศิษย์จึงกลับไปถามอาจารย์ว่า “ขายได้หรือยังครับ” อาจารย์จึงพูดว่า “ยังก่อน จงเอาออกไปวางขายอีก ให้ลูกค้าเสนอราคาเหมือนเดิม แต่อย่าเพิ่งขายไป”
ลูกศิษย์จึงได้ออกไปอีกครั้ง เมื่อเริ่มวางขายหินก้อนนั้น ผู้คนที่มองเห็นความงามของหินก้อนนั้น จึงได้เอ่ยขึ้นว่า “1,000 เหรียญ” บ้างก็เอ่ยขึ้นว่า “โอ้ เขาให้ 1,000 เหรียญ ถ้าอย่างนั้นฉันให้ 10,000 เหรียญ” บ้างก็เสนอราคาให้ถึง 100,000 เหรียญ ลูกศิษย์ผู้นี้รู้สึกดีใจมาก หินก้อนหนึ่งจากแค่สองเหรียญ เป็นสิบเหรียญ ถึงพันเหรียญ หมื่นเหรียญ แล้วยังมีคนเสนอให้ถึงแสนเหรียญ เขาจึงรีบกลับไปแจ้งให้อาจารย์ทราบ พร้อมถามว่า สามารถขายได้หรือยัง
อาจารย์จึงบอกกับลูกศิษย์ผู้นั้นว่า “นั่นสิ เราจะใช้อะไรมาวัดค่าของชีวิต เราจะต้องรู้จักมองตัวเอง ด้วยสายตาของพ่อค้าอัญมณี รู้จักชื่นชมคุณค่าของตัวเราเอง เพราะคุณค่าของชีวิต ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการประเมินของผู้อื่น ว่าแท้จริงแล้วตัวเรามีคุณค่าเท่าไร ก็เหมือนกับหินก้อนนั้น ถ้าเจ้าปล่อยให้คนอื่นประเมินราคา น้อยที่สุดก็แค่ 2 เหรียญ แต่มากที่สุดก็ได้ถึง 100,000 เหรียญ แท้จริงแล้วคุณค่าของชีวิต ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ว่าจะสามารถสร้างคุณค่าให้กับชีวิตของตนเองได้อย่างไร
เมื่อครั้งที่เพิ่งก่อตั้งสมาคมสงเคราะห์ผู้ยากไร้ฉือจี้นั้น พระอาจารย์โพธิ์แจ้ง เจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย ในประเทศไทยได้เดินทางมาที่วัดตงจิ้ง ในไต้หวัน ขณะนั้นมีคนบอกว่า ท่านเป็นเสมือนสังฆราชฝ่ายจีนในไทย นักบวชอย่างเรา ควรจะไปให้การต้อนรับท่าน อาตมาก็ได้รับเชิญ จึงได้มีโอกาสไปต้อนรับท่าน หลังจากนั้น ท่านจึงได้พำนัก ณ วัดตงจิ้ง
หลังจากได้พบปะ ทักทายกันแล้ว อาตมาก็จะรีบกลับ เมื่อท่านเห็นอาตมา จึงรีบกวักมือเรียกพร้อมเอ่ยว่า “เดี๋ยว รอเดี๋ยวก่อน พวกท่านจะไปไหนกัน” อาตมาตอบว่าจะกลับแล้ว
“บ้านของท่านอยู่ที่ไหน”
“บ้านของข้าพเจ้าหรือ อยู่ไกลหน่อย เป็นไร่นาแถวนอกเมือง”
“ให้อาตมาตามไปด้วยนะ รีบเปิดประตูรถเถิด จะได้รีบไป ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวจะมีคนตามมาอีกมาก”
พระอาจารย์โพธิ์แจ้ง จึงได้นั่งรถของเรากลับมาด้วย ในตอนนั้นสมณารามของเราเรียบง่ายอย่างมาก แต่เสาสี่ต้นด้านนอกโบสถ์ ทางด้านขวาได้วางก้อนหินที่โยมท่านหนึ่งได้นำมาถวายไว้ เมื่อตัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมแล้วงดงามมาก เป็นหินลายงูของเมืองฮวาเหลียน โดยพระอาจารย์โพธิ์แจ้งบอกกับอาตมาว่า “ไม่ใช่ นี่เป็นหินหยกอ่อน เป็นหยกนะ” แต่เพราะเป็นหินก้อนใหญ่ และสถานที่ของเราก็เล็กมาก จึงไม่รู้ว่าจะวางไว้ที่ไหนดี ได้แต่วางไว้หน้าประตู
นอกจากนี้ ระหว่างที่โดยสารรถ เพื่อเดินทางมาสมณารามจิ้งซือนั้น พระอาจารย์โพธิ์แจ้งยังได้เล่าอีกว่า “พวกท่านรู้ไหม ไม่ว่าอาตมาไปที่ไหน ก็จะมีขบวนต้อนรับอย่างเอิกเกริก และมีผู้ติดตามอีก 8 คน หากไม่รีบตามท่านออกมา อาตมาก็จะไม่มีอิสระ”
เมื่อท่านพูดจบ จึงได้มอบของขวัญให้อาตมาชิ้นหนึ่ง แต่อาตมาจะมอบอะไรให้ท่านดี เพราะอาตมาไม่มีอะไรเลยจึงบอกออกไปว่า “ข้าพเจ้าขอมอบหินก้อนนี้ให้ท่านได้ไหม” “โอ้ หินก้อนนี้สวยมาก” ท่านยังเอ่ยด้วยความปีติว่า “อาตมาจะนำไปแกะสลักเป็นพระพุทธรูปหยก เพราะเป็นหยกสีเขียวที่งดงามมาก”
เมื่อวางไว้ที่นี่ อาตมาดูไม่ออกว่า หินก้อนนี้มีค่าหรือเปล่า ขนาดวางทิ้งไว้ข้างนอก ก็ยังไม่มีคนขโมยไป จนพระอาจารย์โพธิ์แจ้งมาเยี่ยมเยียน อาตมาจึงได้มอบให้ท่าน เพื่อนำกลับไปแกะสลักเป็นพระพุทธรูป นี่คือมุมมองการให้คุณค่าสิ่งของ
นับจากนั้นเป็นต้นมา อาตมารู้สึกว่า ทุกสิ่งล้วนมีคุณค่าในตัวมันเอง แม้แต่ก้อนหินก็ยังมีคุณค่า แล้วแต่ว่าเราจะนำมาใช้สอยอย่างไร หากแกะสลักเป็นพระพุทธรูป ผู้คนก็จะกราบไหว้บูชา แต่อาตมาก็อาจจะนำมาทำเป็นที่รองขาโต๊ะหรือที่รองขาเก้าอี้ก็ได้
สรุปก็คือ ในโลกนี้วัดคุณค่ากันจากอะไร ขอให้ดูที่ใจเรา หากเรายังยึดติด ไม่ปล่อยวางในอารมณ์ที่รับรู้จากตา หู จมูก ลิ้น กาย และความนึกคิด อาจจะส่งผลให้คุณหวงแหนจนไม่ยอมปล่อยวางสิ่งที่เราคิดว่าไม่มีคุณค่าอะไรเลย แต่บางสิ่งที่มีคุณค่าสูงส่ง ดังเช่น จิตพุทธะของเราที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง เราอาจจะสูญเสียมันไปแล้วก็ได้ ดังนั้น คุณค่าของชีวิตอยู่ที่เรามอง เราทุกคนสามารถทำให้คุณค่าของชีวิตกว้างใหญ่ขึ้นและลึกซึ้งขึ้นได้