มนุษย์เรานั้น ล้วนมีแหล่งน้ำบริสุทธิ์ภายในจิตใจ แต่ก็มิทราบด้วยเหตุผลอันใด ทำให้เราค้นหาแหล่งน้ำดังกล่าวไม่พบเสียที ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า ก้นบึ้งของจิตใจแห้งขอดมาก ดังนั้น เราจึงต้องเสาะแสวงหา เมื่อทราบว่าแห่งหนใดมีแหล่งน้ำไหลก็ต้องตั้งใจขุดให้ลึกลงไป หากเราวางมือไม่ขุดต่อไป ก็คงจะไม่มีน้ำไหลออกมา
ดังนั้น เราจึงต้องลงมือขุดต่อไปอีกครั้ง เพราะบางที สิ่งที่ขวางกั้นแหล่งน้ำ อาจจะเป็นเพียงหินก้อนเดียว ถ้าเราสามารถเคลื่อนก้อนหินก้อนนั้นออกไป น้ำบริสุทธิ์เหล่านั้นก็จะไหลพรั่งพรูออกมา ชะล้างความสกปรกออกไปจากจิตใจได้
รูปโดย ศุภักษร ธิกา
เด็กขุดต้นน้ำ
เคยมีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งกล่าวไว้ว่า มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งขาดแคลนน้ำมาก ชาวบ้านจวนจะขาดน้ำตายอยู่แล้ว ดังนั้นชาวบ้านจึงช่วยกันขุดหาแหล่งน้ำ และมีเด็กชายคนหนึ่ง เห็นพวกผู้ใหญ่กำลังขุดหาแหล่งน้ำ ซึ่งได้ขุดลงไปลึกมากแล้ว เด็กชายจึงช่วยพวกผู้ใหญ่ขนดินอย่างตั้งใจ ต่อมาชาวบ้านต่างคิดว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะขุดต่อไป เพราะอย่างไรเสียก็ไม่มีน้ำอยู่ดี แต่เด็กชายกลับคิดว่า “คนตั้งมากมาย ใช้เวลาขุดตั้งหลายวัน เพียงเพราะว่าไม่เห็นผล ก็จะล้มเลิกง่ายๆ อย่างนั้นหรือ ”
เมื่อชาวบ้านไม่มีเรี่ยวแรงและศรัทธาที่จะขุดหาแหล่งน้ำต่อ พวกเขาจึงหนีหายจากไป ทว่าเด็กชายกลับตัดสินใจลงไปในบ่อ ลงมือขุดไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งขุดพบหินก้อนหนึ่ง ซึ่งมันหนักมาก แต่ชาวบ้านก็กลับบ้านไปกันหมดแล้ว ดังนั้น เด็กชายจึงพยายามที่จะเคลื่อนย้ายก้อนหินก้อนนั้นออกไป แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ด้วยความเหนื่อยล้า เด็กชายจึงทรุดตัวลง และก็เผลอหลับไปอย่างรวดเร็ว
“เอ๊ะ! เหมือนได้ยินเสียงอะไรสักอย่าง” เด็กชายตั้งใจฟังเสียงดังกล่าว มันคล้ายกับเสียงน้ำไหล “เสียงน้ำมาจากที่ไหนนะ” เด็กชายรีบใช้มือขุดดินออกเรื่อยๆ 6 วัน 6 คืน ที่ขุดดินในบ่ออยู่อย่างนั้น จึงมีช่องว่างให้เคลื่อนก้อนหินได้ในที่สุด เด็กชายจึงใช้แรงผลักหินก้อนนั้นออกไป ทำให้น้ำไหลออกจากก้นบ่อทันที
แต่เนื่องจากเด็กชายใช้เรี่ยวแรงที่มีขุดบ่อน้ำมาหลายวัน เขาจึงเป็นลมล้มพับลง ในขณะที่น้ำค่อยๆ ท่วมร่างของเด็กชาย ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ชาวบ้านกำลังออกมาตามหาเขา แต่ไม่มีใครทราบเลยว่าเขาอยู่ในบ่อน้ำ
เมื่อเด็กชายได้สติ เขาก็ใช้เรี่ยวแรงที่มีตะโกนออกไปว่า “มีน้ำแล้ว เรามีน้ำใช้แล้ว” เมื่อชาวบ้านได้ยิน ก็ตามเสียงไปจนถึงบ่อ จึงเห็นว่าในบ่อมีน้ำแล้ว แต่ก็มีเด็กชายเป็นลมล้มพับอยู่ ชาวบ้านจึงรีบช่วยเด็กชายขึ้นมา เด็กชายใช้เวลาถึง 6 วันในการขุดบ่อน้ำ เคลื่อนหินก้อนนั้นออก จนทำให้น้ำไหลออกมา เด็กชายตัวน้อยได้กลายเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตคนทั้งหมู่บ้าน
นิทานเรื่องนี้ทำให้เห็นว่า ทุกคนต่างก็อยากจะขุดหาแหล่งน้ำ และเหมือนว่าใกล้จะขุดถึงแหล่งน้ำแล้ว แต่ทุกคนกลับถอดใจและล้มเลิกความตั้งใจไปเสียกลางคัน ถึงแม้ว่าพวกผู้ใหญ่จะไม่ขุดหาแหล่งน้ำต่อ แต่เด็กชายก็คงหยัดยืน เชื่อมั่น และขุดบ่อน้ำต่อไป จนสามารถค้นพบแหล่งน้ำได้
พวกเราจึงควรมุ่งมั่นตั้งใจให้เหมือนกับเด็กชายผู้นั้น หากตั้งใจแล้ว ก็จะได้ยินเสียงแหล่งน้ำที่อยู่ในจิตใจ ดังนั้น เราจึงต้องมีความเชื่อมั่น การที่เราไม่มีความเชื่อมั่นและศรัทธา เป็นเพราะว่าเราไม่ได้นำ “ธรรมะ” มาปรับใช้ หากว่าเรานำ “ธรรมะมาใช้แล้ว” พวกเราก็จะมีความเชื่อมั่นและศรัทธา เพียงเรามีความเพียรพยายามเพิ่มขึ้น ก็จะสามารถได้ยินเสียงแหล่งน้ำในจิตใจได้ เพียงใช้ความพยายามเพิ่มขึ้นอีกนิด แหล่งน้ำในจิตใจก็จะพรั่งพรูออกมา
เมื่อน้ำอันบริสุทธิ์ไหลออกมา กระแสน้ำนี้ก็จะชะล้างความสกปรกออกไป จิตใจเราก็จะใสสะอาดบริสุทธิ์
จิตใจคนเรานั้นก็เหมือนกับกระจกเงาด้านหนึ่ง จำเป็นต้องเช็ดทำความสะอาด หากเราเช็ดกระจกให้ใสสะอาดแล้ว กระจกก็จะสามารถส่องสะท้อนทุกอย่างได้กระจ่างชัดเจน เราต้องใช้ความเพียรพยายามเช่นเดียวกับการขุดบ่อน้ำ คนที่ขุดบ่อน้ำก็เปรียบเสมือนคนที่เช็ดกระจก ต้องใช้ความเพียรพยายาม จึงจะสามารถทำให้จิตใจเราใสสะอาดได้
ความวุ่นวายจิตใจเกิดขึ้นได้อย่างไร ที่จริงแล้ว ความวุ่นวายนั้นเกิดขึ้นจาก เราเก็บเอามาใส่ใจ ทั้งปัญหาจากสภาพแวดล้อมในการดำเนินชีวิต ปัญหาจากผู้คนใกล้ชิดมิตรสหาย ปัญหาจากการปิดกั้นจิตใจของตัวเอง ปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคในการทำความดี ก่อเกิดเป็นกิเลสสั่งสมภายในจิตใจ หากจิตใจมีความเขลา ต้องใช้น้ำแห่งความสำนึกผิดมาชะล้าง จากนั้นขจัดมันออกไปให้หมดสิ้น
เช่นเดียวกันกับในนิทาน หลังจากใช้แรงเคลื่อนก้อนหินที่ขวางทางน้ำไหลก้อนนั้นออกไป น้ำก็จะสามารถไหลออกมาได้ สามารถชำระล้างความสกปรกออกไป ทำให้จิตใจของเราเปิดกว้างและบริสุทธิ์ ไร้ซึ่งสิ่งแปดเปื้อนให้มัวหมอง
เรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งหลาย กลายเป็นปัญหาที่รบกวนจิตใจของเรา ฉะนั้น เราก็ควรกระทำเหมือนกับเด็กน้อยไร้เดียงสาในนิทาน โดยการเคลื่อนก้อนหินที่ขวางแหล่งน้ำออกไป ท่านธรรมาจารย์มักจะกล่าวอยู่เสมอว่า จะชะล้างจิตใจผู้คนให้สะอาดบริสุทธิ์ จำเป็นต้องใช้จิตใจที่สะอาดของตัวเราก่อน เมื่อจิตใจเราใสสะอาดบริสุทธิ์ ก็จะสามารถส่องสะท้อนจิตใจของผู้อื่นได้ ดังนั้น หากเราเคลื่อนก้อนหินที่ปิดขวางแหล่งน้ำบริสุทธิ์ ที่เดิมทีอยู่ในจิตใจของมนุษย์ไปได้ น้ำอันบริสุทธิ์ก็จะสามารถไหลพรั่งพรูออกมาชะล้างสิ่งสกปรก ให้ไร้ซึ่งสิ่งมัวหมองได้