เวลาผ่านไป วันแล้ววันเล่า ทั้งผู้คน เรื่องราวหรือสิ่งต่างๆ ที่เราได้ประสบพบเจอ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ล้วนตราตรึงอยู่ในจิตใจเรา ถ้าหากเราปฏิบัติต่อผู้คน เรื่องราวหรือสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตไม่ดี สร้างเวรกรรมต่อกัน ทำให้แม้แต่ธรรมะอันบริสุทธิ์ ก็อาจถูกแปดเปื้อนให้มัวหมองได้
แต่หากเรานำเอาสิ่งไม่ดี สิ่งที่เคยกระทำผิดมาเป็นบทเรียนสอนใจ จะทำให้จิตใจของเราบริสุทธิ์ สามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดี บ่มเพาะความเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา (พรหมวิหาร 4) ให้เกิดขึ้นในจิตใจเรา ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่จะทำได้ ส่วนสัตว์ชนิดอื่นๆ เช่น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์ปีก ที่ถึงแม้จะออกลูกเป็นตัวเหมือนกัน แต่ก็ไม่สามารถกระทำได้เช่นมนุษย์ อย่างไรก็ตาม หากเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชนิดหรือสายพันธุ์ใดๆ ล้วนมี “พุทธจิต” ทั้งสิ้น
ภาพโดย ดรรชนี สุระเทพ
กวางจ่าฝูงผู้เมตตา
บนภูเขามีกวางฝูงหนึ่ง ในฝูงกวางมีจ่าฝูงตัวหนึ่ง รูปลักษณ์งดงามด้วยสีสันอันหลากหลายและแพรวพราวทั่วทั้งร่าง เขาของมันก็สวยงามแปลกตา วันหนึ่งพระราชาได้นำเหล่าข้าราชบริพารออกล่าสัตว์ในป่า ธนูถูกยิงไปทั่วทุกหนแห่ง ทำให้ฝูงกวางต่างก็ตื่นตระหนกตกใจ หนีตายกันอลหม่าน
เมื่อพระราชาและเหล่าข้าราชบริพารกลับไปแล้ว กวางบางตัวก็ต้องออกตามหาลูก บางตัวก็ร้องเรียกหาแม่ มีบางตัวพลัดตกเหว เลือดไหลอาบร่างน่าเวทนายิ่งนัก กวางจ่าฝูงเห็นภาพเหล่านี้ก็รู้สึกสลดใจ ทั้งกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของตนเอง จึงตัดสินใจเข้าไปในวัง เพื่ออ้อนวอนขอชีวิตบรรดาฝูงกวาง
กวางจ่าฝูงเดินทางไปในตัวเมืองและเข้าไปในพระราชวัง มันคุกเข่าลงเบื้องพระพักตร์พระราชา แล้วทูลเล่าเรื่องราวต่อพระองค์ด้วยน้ำตานองหน้าว่า “ฝูงกวางของเราต่างก็สำนึกพระคุณที่ได้อาศัยอยู่ในอาณาเขตของพระองค์ และทราบว่าพระองค์ต้องการอาหารจานเลิศ หม่อมฉันเพียงอยากให้พระองค์ระบุจำนวนที่ชัดเจน ไม่ว่าจะมากหรือน้อยเพียงใด พวกเราต่างยินยอมพร้อมใจ ถวายชีวิตให้พระองค์”
เมื่อพระราชาได้ฟังดังนั้น จึงตรัสว่า “เราต้องการกวางวันละ 1 ตัว” เมื่อกวางจ่าฝูงได้ยินดังนั้นแล้ว จึงเดินทางกลับเข้าไปในป่า เมื่อทราบว่ากวางจ่าฝูงกลับมาแล้ว ทุกตัวต่างก็รีบมาชุมนุมกัน กวางจ่าฝูงกล่าวว่า “ในโลกใบนี้ ไม่มีใครมีชีวิตเป็นนิรันดร์ เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขและเพื่อให้ฝูงของเราสามารถขยายพันธุ์ต่อไปได้ จึงจำเป็นต้องมีผู้อาสา อุทิศชีวิตของตนให้แก่พระราชา อย่างน้อยก็เพื่อความสงบสุขของพวกเรา”
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กวางในฝูงจึงเริ่มจัดลำดับการอุทิศชีวิต เพื่อไปเป็นอาหารให้กับพระราชา เมื่อถึงลำดับของใคร กวางตัวนั้นก็จะออกมาร่ำลาจ่าฝูง จ่าฝูงก็จะพูดสั่งเสียว่า “เวลาของเจ้าได้หมดลงแล้ว ขอให้เจ้าจงทำจิตใจให้สงบ ปล่อยวางทุกสิ่ง ในระหว่างที่เจ้าเดินทางเข้าไปนั้น ขอให้รำลึกถึงพระพุทธองค์ไว้ อย่าได้มีความพยาบาท อาฆาตแค้นต่อพระราชา และข้าราชบริพารของพระองค์เลย ”
วันหนึ่ง เมื่อใกล้จะถึงลำดับของแม่กวางตัวหนึ่ง แม่กวางกลับคุกเข่าขอร้องกับกวางจ่าฝูงว่า “ขอให้ฉันคลอดลูกก่อน ค่อยไปได้ไหม” เมื่อได้ฟังดังนั้นแล้ว กวางจ่าฝูงจึงถามกวางที่เป็นลำดับต่อจากแม่กวางว่า “ขอให้เจ้าไปก่อนลำดับของตนเองหนึ่งวันได้ไหม” กวางตัวนั้นจึงรีบพูดว่า “ฉันไม่ปรารถนาที่จะไปตายก่อนหนึ่งวัน”
เมื่อกวางจ่าฝูงได้ยินดังนั้นแล้ว จึงตัดสินใจเข้าไปในพระราชวังอีกครั้ง โดยครั้งนี้มันเดินตรงไปยังห้องครัวเลย เมื่อเห็นดังนั้น พ่อครัวจึงคิดในใจว่า “เอ๊ะ ทำไมวันนี้ถึงเป็นลำดับของกวางจ่าฝูงนะ” พ่อครัวจึงรีบนำเรื่องนี้ไปกราบบังคมทูลแก่พระราชา พระราชาจึงตรัสถามว่า “ทำไมถึงคิวของเจ้าเร็วนัก ฝูงกวางของเจ้าหมดแล้วหรือ”
กวางจ่าฝูงส่ายหน้าและตอบว่า “มิใช่หรอกพระองค์” แท้จริงแล้ว กวางจ่าฝูงตัดสินใจทำตามคำขอร้องของแม่กวาง ที่อยากอยู่คลอดลูกเสียก่อน กวางคิวต่อไปก็ไม่ยินดีที่จะสละชีพของตัวเองเร็วกว่าเดิม ดังนั้นกวางจ่าฝูงจึงเอาชีวิตตนเอง มาเติมเต็มความต้องการของเมนูในห้องครัว
เมื่อได้ทราบดังนั้นแล้ว พระราชาจึงรู้สึกละอายและสำนึกผิดเป็นอย่างยิ่ง โดยคิดในพระทัยว่า “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดนี้ ถึงแม้ว่าจะมีรูปลักษณ์ภายนอกเป็นกวาง แต่กลับมีจิตเมตตาเสมือนมนุษย์ ทุกสรรพชีวิตบนโลก ล้วนมีผู้มีจิตเมตตา ตัวเราเป็นมนุษย์ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐแท้ๆ ยังมีเมตตาจิตไม่เท่ากวางตัวนี้เลย” เมื่อพระราชาสำนึกผิดแล้ว จึงใด้ติดป้ายประกาศว่า “นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ห้ามทุกคนเข้าป่าล่าสัตว์”
จากเรื่องเล่าข้างต้น กวางตัวนั้นก็คือ องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตชาติ ส่วนพระราชาก็คือ พระสารีบุตร ในเส้นทางการเพียรบำเพ็ญธรรมของพระพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ อยู่ในครรภ์มารดา 10 เดือน แล้วคลอดออกมาเป็นมนุษย์เหมือนกับเราเพียงเท่านั้น เพื่อสามารถโปรดสรรพสัตว์ทั้งหมดทั้งมวลได้ ไม่ว่าจะต้องเกิดในท้องของวัว ท้องม้าหรือท้องกวาง พระองค์ล้วนผ่านการเกิดเป็นสัตว์เหล่านั้นมาแล้วทั้งสิ้น
ดังนั้นเราจึงควรเคารพชีวิตผู้อื่น ไม่ควรหยิ่งทะนง โอ้อวดตน หรือกดขี่ข่มเหงคนยากจนว่าต่ำต้อย เราต้องรู้จักทะนุถนอมสรรพสัตว์อื่นๆ ให้ความเสมอภาคแก่พวกเขา รู้จักรักษาบุญสัมพันธ์อันดีนี้ไว้ เพราะว่าบุญสัมพันธ์หรือวาสนา เป็นสิ่งที่ผูกพันกันมาในแต่ละชาติ ทุกอย่างล้วนเกิดจากกรรมที่เคยทำไว้
ดังเช่นรายการหนึ่งซึ่งได้นำเสนอว่า มีทีมกู้ภัยได้นำสุนัขจรจัดมาเลี้ยงและฝึกฝน จนทำให้สุนัขจรจัดเหล่านั้นกลายเป็นสุนัขกู้ภัย สามารถช่วยเหลือชีวิตผู้คนได้ แล้วเราในฐานะที่เป็นมนุษย์ การทำผิดพลาดไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือการไม่รู้จักแก้ไขความผิด ผู้ที่เคยทำร้ายผู้อื่น หรือเคยถูกผู้อื่นดูแคลนกระทั่งถูกทอดทิ้ง ก็สามารถปรับปรุงพัฒนาตนเอง ให้กลายเป็นผู้ที่มีคุณูปการต่อผู้อื่นได้เช่นกัน
ดังนั้น ขอให้ทุกคนอย่าหยิ่งทะนงตน ต้องรู้จักลดตัวตนและเคารพผู้อื่น