ท่านธรรมาจารย์เจิ้งเอี๋ยนปรารภว่า เสียงนกกาที่เจื้อยแจ้วอยู่ข้างนอก ท่ามกลางความสงบเงียบนั้นไพเราะยิ่งนัก ถือเป็นความสุขในชีวิตประการหนึ่ง หากทุกคนสามารถตื่นรู้ได้เสมอว่า จิตของสรรพสิ่งนั้นล้วนบริสุทธิ์ผุดผ่องเฉกเช่นเดียวกัน
ไม่ว่าในดินแดนของมนุษย์ ของนก หรือสรรพชีวิตอื่นๆ ล้วนเท่าเทียมกัน หากทุกชีวิตช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน จะดีมากเพียงใด นอกจากนี้ หากปุถุชนมีจิตเมตตาและปัญญาเฉกเช่นเดียวกับพระพุทธองค์ มิเท่ากับเป็นสวรรค์บนดินหรือ
พระพุทธองค์ตรัสว่า สรรพชีวิตล้วนสามารถตื่นรู้ได้ จึงมักบอกอยู่เสมอว่า “จิตของพุทธองค์กับจิตของสรรพชีวิต ล้วนมิได้แตกต่างกัน” แต่เพราะความเขลาเพียงชั่วขณะ ทำให้คนเรามักหลงทิศทางได้ง่าย และเพราะความหลงนี้เอง เป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งขึ้น ทั้งความขัดแย้งระหว่างคนกับคน และความขัดแย้งระหว่างคนกับสรรพสัตว์ต่างๆ เป็นต้น เห็นไหมว่า โลกมนุษย์เรานี้น่ากลัวมากเพียงใด ในทางกลับกันโลกของสรรพสัตว์ กลับเรียบง่ายกว่าโลกมนุษย์
รูปโดย บุษรา สมบัติ
เจ้าแห่งกวางกับพระราชา
ในป่าแห่งหนึ่ง มีเจ้าแห่งกวางซึ่งขนของมันเป็นสีมณีนพเก้า วันหนึ่งขณะที่มันเดินเล่นอยู่ข้างลำธาร ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนร้องขอให้ช่วย เมื่อเดินตามเสียงไป จึงพบชายผู้หนึ่ง ที่กำลังไหลไปตามกระแสน้ำ ด้วยความเมตตา มันจึงกระโดดลงไปในลำธาร และว่ายเข้าไปใกล้ๆ ชายผู้นั้น พร้อมทั้งพูดขึ้นว่า “มาเถิด ท่านจงจับเขาของข้าไว้ และขึ้นมานั่งบนหลังของข้า” มันพยายามใช้แรงทั้งหมดที่มี เพื่อช่วยชีวิตชายผู้นี้ไว้
เมื่อรอดตาย ชายผู้นั้นจึงเอ่ยด้วยความซาบซึ้งใจว่า “ข้ายินดีเป็นทาสรับใช้ท่านตลอดชาติ”
เจ้าแห่งกวางกล่าวตอบว่า “ไม่จำเป็นหรอก ท่านรู้ไหมว่าผู้คนต่างก็อยากได้หนังของข้า ดังนั้น ข้าขอเพียงแค่ เมื่อท่านกลับออกไป อย่าได้บอกใครว่ามีกวางเช่นข้าอยู่ ณ ที่แห่งนี้”
ชายผู้นั้นจึงให้สัญญาว่า “ข้าจะไม่บอกใครเด็ดขาด ขอบคุณท่านอย่างยิ่ง”
พระราชาของดินแดนแห่งนี้ เป็นผู้มีเมตตาจิต วันหนึ่งขณะที่มเหสีของพระองค์กำลังบรรทม ได้ฝันถึงกวางที่มีขนทอประกายด้วยแสงของมณีนพเก้า เป็นที่พึงพระทัยของพระองค์อย่างยิ่ง จึงได้ไปทูลแก่พระราชาว่า “หากสามารถเอาหนังของกวางมาทำเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ และเอาเขาของมันมาทำเป็นเป็นต่างหูได้ คงจะดีไม่น้อย”
พระราชาจึงตรัสว่า “มีสัตว์อย่างนี้บนโลกด้วยหรือ”
มเหสีตรัสตอบว่า “หากท่านไม่หามาให้ข้า ข้าจะตายให้ท่านดู”
ในที่สุดพระราชาจึงติดประกาศเพื่อออกตามหา เมื่อชายผู้หนึ่งเห็นประกาศนี้เข้า จึงรู้สึกยินดียิ่งนัก “ข้ากำลังจะรวยแล้ว” เขาคิดในใจ จากนั้นจึงนำเรื่องทั้งหมด ไปกราบทูลแก่พระราชา ในที่สุดพระองค์จึงนำข้าราชบริพารเข้าป่าไปเพื่อจับกวางตัวนั้น
ขณะนั้น เจ้าแห่งกวางกำลังนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ เมื่อนกที่บินอยู่เห็นขบวนของพระราชากำลังนำทัพทหารมุ่งหน้ามาทางนี้ มันจึงรีบบินเข้าไปปลุกเจ้าแห่งกวาง เมื่อเห็นพระราชากระชั้นชิดเข้ามา จึงได้เข้าไปจิกที่หูของกวาง จนกวางตกใจตื่น และเห็นว่าพระราชาและทหารของพระองค์ได้ล้อมมันไว้หมดแล้ว
เจ้าแห่งกวางจึงเดินไปยังเบื้องพระพักตร์ของพระราชา คุกเข่าลงพร้อมทั้งเอ่ยขึ้นว่า “ข้ารู้ว่า วันนี้ข้าคงไม่มีทางหนีรอดไปได้ แต่ว่าข้าขอทูลถามพระองค์ว่า ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามีข้าอยู่ ณ ที่แห่งนี้”
พระราชาตรัสตอบว่า “มีชายผู้หนึ่งบอกเราเกี่ยวกับที่อยู่ของเจ้า”
เจ้าแห่งกวางจึงเอ่ยต่อไปว่า “หลายวันก่อน มีชายผู้หนึ่งตกลงไปในลำธาร ข้าเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเขาขึ้นมา เขาบอกว่ายินดีเป็นทาสรับใช้ช้า แต่ข้าบอกเขาว่าไม่จำเป็น ขอเพียงแค่ อย่านำที่อยู่ของข้าไปบอกกับผู้อื่น”
เมื่อพระราชาได้ยินดังนั้นจึงสลดใจยิ่งนัก และตรัสขึ้นว่า “จิตใจของชายผู้นี้ช่างชั่วร้ายยิ่งนัก ทรยศได้แม้กระทั่งผู้มีบุญคุณที่ช่วยชีวิต” จากนั้นจึงตรัสกับเจ้าแห่งกวางว่า “ข้าจะออกคำสั่งห้ามการล่ากวางทั่วราชอาณาจักร”
เมื่อความทราบถึงมเหสี พระองค์จึงทรงโกรธกริ้วอย่างมาก “ทำไมท่านไม่ยอมทำตามที่ข้าขอ” ความโกรธนี้ ทำให้มเหสีใจสลายและสิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมา
พระราชาทรงเศร้าโศกและเสียพระทัยอย่างมาก แต่ก็ได้ย้อนคิดถึงโทษของความโลภ ท่านจึงยิ่งรู้จักทะนุถนอมชีวิตสรรพสัตว์มากยิ่งขึ้น ในที่สุดจึงได้ประกาศแก่พสกนิกรของพระองค์ว่า “ห้ามทุกคนล่ากวางเป็นอันขาด”
พระอินทร์เองก็ซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก แต่ท่านก็ยังคลางแคลงใจ จึงจำแลงกายลงมาเป็นฝูงกวาง และกินทุกอย่างที่ขวางหน้า ทำให้พืชผลต่างๆ เสียหายทั้งหมด ชาวบ้านเองก็หมดหนทาง ไม่สามารถทำร้ายกวางได้ ทำให้สิ่งที่พวกเขาเพาะปลูกไว้ โดนฝูงกวางกัดกินจนหมด พวกเขาควรทำอย่างไรดี ในที่สุด จึงได้ส่งตัวแทนเข้าไปกราบทูลแก่พระราชา พระองค์จึงตรัสว่า “ข้าต้องรักษาสัจจะที่ให้ไว้ ด้วยการไม่ทำร้ายกวาง” เมื่อเห็นถึงความมุ่งมั่นของพระราชา พระอินทร์จึงซาบซึ้งและดลบันดาลให้กวางจำแลงทั้งหมดหายไป พร้อมทั้งเสกให้พืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆ อุดมสมบูรณ์กว่าเดิมอีกเท่าตัว
ท่านธรรมาจารย์ปรารภว่า เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินเรื่องราวของกวางมณีนพเก้าในพุทธคัมภีร์ แม้มันจะเป็นเพียงสัตว์ อยู่ในร่างของเดรัจฉาน แต่จิตใจของมันกลับตื่นรู้ มีความรักอันบริสุทธิ์ ดังนั้นมันจึงยินดีที่จะอุทิศตนเอง เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
พระราชาซึ่งเป็นมนุษย์ หลังจากเข้าใจเรื่องราวต่างๆ แล้ว ก็รักษาสัจจะของตนที่จะไม่ทำร้ายสรรพสัตว์ ขณะเดียวกัน ก็ขอให้ลองมองเรื่องราวของคนอีกสองคน นั่นคือ ชายผู้ทรยศต่อผู้มีพระคุณ และมเหสีผู้ตกอยู่ในห้วงของความโลภโกรธหลง จนใจสลายและตายในที่สุด ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะจิตใจอันยากแท้หยั่งถึงของมนุษย์
อย่างไรก็ตาม เราเชื่อมั่นว่าทุกสรรพชีวิต ล้วนมีพุทธจิตอันบริสุทธิ์ที่สามารถตื่นรู้ได้ แต่พุทธจิตนั้นกลับโดนกิเลสบดบังไว้ จนนำมาซึ่งการก่อกรรมทำเข็ญ เราจึงต้องรู้จักสลัดตัวเองให้หลุดพ้นจากกิเลสมลทินนี้ และหวนคืนสู่พุทธจิตอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง เราต้องมีความมุ่งมั่น มีปณิธานอันเด็ดเดี่ยว จึงขอให้ทุกคนมีความตั้งใจอย่างแท้จริง