สมัยพุทธกาล เมื่อธรรมะของพระพุทธองค์เริ่มเจริญรุ่งเรืองในเมืองราชคฤห์ ทำให้เหล่านักบวชนอกพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพราหมณ์หรือนิครนถ์ ต่างทยอยหันมาศึกษาพุทธธรรม ด้านเหล่าอาจารย์เกือบ 500 คนของนักบวชนิครนถ์ซึ่งเดิมทีต่างมีสานุศิษย์ของตนเอง เมื่อเห็นลูกศิษย์ของตนเองเริ่มห่างหาย หันไปศึกษาพุทธธรรม ทำให้พวกเขาต่างคิดว่า ในเมื่อไม่มีลูกศิษย์ลูกหาแล้ว ก็เผาตัวเองให้ตายไปกับกองไฟ เพื่อไปเกิดใหม่บนสรวงสวรรค์เสียดีกว่า ว่าแล้วพวกเขาจึงเริ่มก่อกองไฟ
ด้วยความเมตตา พระพุทธองค์จึงเสด็จไปถึงที่นั่น พร้อมทั้งดลบันดาลให้พวกเขาจุดไฟไม่ติด จากนั้นจึงแปลงกายเป็นดั่งคบไฟอันสว่างรุ่งโรจน์ เมื่อเหล่าอาจารย์ของนักบวชนิครนถ์เห็นดังนั้น จึงรีบกระโจนเข้าสู่คบไฟอันลุกโชน ทว่าทุกคนกลับรู้สึกเย็นสบาย เมื่อตั้งจิตให้สงบ จึงพบว่าพระพุทธองค์ประทับอยู่กลางคบไฟ จิตใจของเหล่าอาจารย์นักบวชนิครนถ์จึงบังเกิดความปีติ จนปรารถนาที่จะออกบวชเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา พระอานนน์และพระสงฆ์ในศากยวงศ์ต่างก็รู้สึกประหลาดใจว่า บุญวาสนาอันใดจึงทำให้เป็นเช่นนี้ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า นี่เป็นผลจากบุญวาสนาที่สั่งสมร่วมกันมาหลายภพหลายชาตินั่นเอง
ภาพโดย ดรรชนี สุระเทพ
ค้นหาสมบัติ
พ่อค้า 500 คน ซึ่งมีเรือสินค้าเป็นของตัวเอง หนึ่งในนั้นคือ พ่อค้าใหญ่ซึ่งมีเรือลำใหญ่อีกทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ เขาเป็นผู้นำพ่อค้าทั้ง 500 คน เดินเรือมุ่งหน้าสู่ทะเล
เมื่อขึ้นฝั่ง ทุกคนพบว่ามีทรัพย์สมบัติมากมาย จึงรีบขนขึ้นเรือของตนโดยไม่หยุดหย่อน พ่อค้าใหญ่จึงบอกกับทุกคนว่า “จงขนไปแต่พอดี อย่าบรรทุกเกินน้ำหนัก เรือขนน้ำหนักได้เพียงเท่านี้ เมื่อพอแล้ว จะได้หันเรือกลับ” เหล่าพ่อค้าต่างคิดว่า “ในเมื่อค้นพบทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลขนาดนี้ จะให้ทิ้งมันไว้เฉยๆ ไม่ขนกลับไปได้อย่างไร เรายอมเสี่ยงเพื่อจะขนสมบัติเหล่านี้กลับไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้”
ด้วยทรัพย์สมบัติจำนวนมากเหล่านี้ ส่งผลให้เรือบรรทุกน้ำหนักเกิน และค่อยๆ จมลง ทว่าทุกคนยังไม่ยอมวางมือ พ่อค้าใหญ่จึงรีบนำทรัพย์สมบัติของตนทิ้งลงในทะเล และช่วยเหล่าพ่อค้าที่เรืออับปาง จนลอยคออยู่กลางทะเลขึ้นมาทีละคน เทพยดาที่ปกปักษ์ท้องทะเลรู้สึกซาบซึ้งใจ ที่พ่อค้าใหญ่ยอมสละทรัพย์สมบัติเพื่อช่วยเหลือชีวิตคน จึงดลบันดาลให้ทรัพย์สมบัติลอยขึ้นมาและนำทางเรือของพ่อค้าใหญ่ จนช่วยชีวิตพ่อค้าทั้ง 500 คนให้ขึ้นเรือมาได้อย่างปลอดภัย เทพยดาที่ปกปักษ์ท้องทะเลยังได้ดลบันดาลให้ทรัพย์สมบัติที่พ่อค้าใหญ่ทิ้งลงทะเล ลอยขึ้นฝั่งไปกับพวกเขาด้วย
บรรดาพ่อค้าต่างพูดว่า “เราต่างลำบากตรากตรำ กว่าจะได้ทรัพย์สมบัติเหล่านี้มา แต่ตอนนี้เรากลับไม่เหลืออะไรเลย เหลือแต่ตัวแค่นั้น แล้วอย่างนี้มันจะมีค่าอะไรเล่า” แม้จะยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อไม่มีทรัพย์สินอะไรเลย ชีวิตย่อมตกอยู่ในความลำบาก พ่อค้าใหญ่จึงพูดกับเหล่าพ่อค้าว่า “ทุกท่านอย่าได้กังวลใจไปเลย ขอให้พวกท่านจงแบ่งทรัพย์สมบัติของเราที่อยู่ตรงหน้านี้เถิด”
พ่อค้าใหญ่สละทรัพย์สินทุกอย่างด้วยความยินดี ก่อนจะออกไปบำเพ็ญธรรม พ่อค้าใหญ่คิดว่า ไม่รู้ว่าจิตใจที่ละโมบโลภมากนี้ ได้นำความทุกข์มาสู่ผู้คนมากมายเท่าไรแล้ว ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะปล่อยวาง และออกเดินทางเพื่อค้นหาสัจธรรมของชีวิต ว่าแท้ที่จริงแล้ว อะไรคือทรัพย์สมบัติที่มีค่าที่สุดสำหรับชีวิต ทำไมผู้คนจึงแยกแยะไม่ออก เมื่อพ่อค้าใหญ่ออกไปบำเพ็ญธรรม ทำให้เหล่าพ่อค้าทั้ง 500 คนคิดได้ว่า อะไรคือชีวิตที่แท้จริง ทรัพย์สินเงินทองมันก็แค่นี้ จึงตัดสินใจออกบำเพ็ญธรรมเช่นเดียวกับพ่อค้าใหญ่
พระพุทธองค์ตรัสว่า “อานนท์ท่านรู้ไหมว่า พ่อค้า 500 คนเหล่านั้น ก็คือนักบวชนิครนถ์ในชาตินี้ และพ่อค้าใหญ่ผู้นั้น ก็คือ เราในชาตินี้ มิใช่เพียงแค่ในชาตินี้ เราและพวกเขาสั่งสมบุญวาสนาร่วมกันมาหลายภพหลายชาติ และทุกภพทุกชาติ เราก็เป็นผู้ชี้ทางให้พวกเขาก้าวเข้าสู่พุทธธรรม ได้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยความปีติในธรรม" เมื่อเราได้ศึกษาพุทธธรรม ก็ต้องนำธรรมะเข้าสู่จิตใจ เมื่อใจมีธรรมะ ก็ย่อมก้าวไปบนเส้นทางแห่งธรรมได้อย่างมั่นคง อิสระ ราบรื่น อีกทั้งยังสามารถชักนำผู้อื่นให้มาร่วมเดินบนเส้นทางเดียวกันได้อีกด้วย