“เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว อนิจจังกลืนกินทุกสิ่ง ชีวิตคนเราสั้นนัก” นี่คือกฏธรรมชาติ ฉะนั้นเราจึงต้องใช้เวลาอย่างรู้ค่า เพราะเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้คุณจะมีอายุถึง 100 ปี ก็เป็นเพียงวันเวลาที่สั่งสมมา ยิ่งไปกว่านั้น ชีวิตก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ดังนั้นเราจึงต้องใช้ช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อสั่งสมบุญกุศล นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก
สิ่งที่เราสัมผัสในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นคน เรื่องราว สิ่งของ ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเป็นตัวอย่างสอนเรา ไม่ว่าสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมแบบใด ก็เหมือนกับเราได้เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมแบบนั้น ดังนั้น จึงต้องดำเนินชีวิตประจำวันด้วยความตั้งใจตลอดเวลา
สำหรับ “ความโลภ โกรธ หลง” นั้น “ความหลง” เป็นสิ่งมืดมนที่ทำให้เราเกิดกิเลส และบดบังแสงแห่งปัญญา ดังนั้นเราจึงต้องขจัดความหลงอันมืดมนนี้ให้หมดสิ้นไป เปรียบเสมือนโคมไฟ ที่ถูกผ้าสีดำคลุมไว้จนมืดมิด เพียงแค่เราเอาผ้าคลุมออก หรือตัดผ้าให้ขาด ไฟก็จะสว่างขึ้นมา ดังนั้น ไม่ว่าเราจะมีชีวิตผ่านมานานแค่ไหน หรือผ่านมาสักกี่ภพชาติแล้วก็ตาม เราล้วนถูกกิเลสครอบงำไว้ แค่เราจุดประกายแห่งปัญญาขึ้น ความมืดมนก็จะหายไป หากเราขจัดความมืดมน หรือ “ความหลง” ออกไปได้ เราก็จะสามารถ “ตัดบ่วงแหแห่งความเห็นที่ไม่ถูกต้องได้”
“ความเห็น” นั้น ทำให้เราเกิดกิเลสและความทุกข์มากมาย การใช้ชีวิตประจำวันด้วยความเห็นต่อคน เรื่องราวสิ่งของ เหตุผลและกฏเกณฑ์ต่างๆ ที่ไม่ถูกต้องนั้น ทำให้เราเห็นผิดทำผิดได้ง่าย ดังนั้น ความเห็นที่ไม่ถูกต้องจำนวนมากในชีวิตประจำวันนั้น จึงเปรียบเสมือนบ่วงแหที่รัดรึงเราเอาไว้ ดังนั้นเราจึงต้อง “ตัดบ่วงแหแห่งความเห็นที่ไม่ถูกต้อง” นั้นให้ขาดออกไป
รูปโดย รติกร มณีฉาย
ปลาจ่าฝูงตัดบ่วงแห
ท่ามกลางท้องทะเลอันแสนกว้างใหญ่ มีปลาจ่าฝูงตัวใหญ่ตัวหนึ่ง จะนำเหล่าฝูงปลาออกไปว่ายน้ำเล่นเป็นประจำทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อชาวประมงได้พบกับปลาฝูงนี้ เขาจึงใช้แหขนาดใหญ่เหวี่ยงออกไป จนจับปลาจ่าฝูงและลูกฝูงได้ทั้งหมด
จากนั้นชาวประมงจึงรีบลากแหขึ้นไป ยิ่งลากก็ยิ่งแน่น ทำให้เหล่าฝูงปลาต่างดิ้นรน จนกระทั่งปลาจ่าฝูงคิดขึ้นได้ มันจึงใช้หัวมุดลงดิน แล้วใช้ครีบตัดแหที่รัดรึงอย่างสุดกำลัง มันค่อยๆ ตัดทีละตา ทีละตา จนแหขาดออก ถึงแม้แหจะถูกดึงจนแน่น แต่เมื่อแหขาดออกแล้ว เหล่าฝูงปลาจึงทยอยเล็ดลอดออกมาได้ ทว่า ปลาจ่าฝูงซึ่งใช้หัวของตนเองปักอยู่ในดินนานเกินไป จึงต้องอุทิศชีวิตของตนเอง เพื่อช่วยเหลือฝูงปลาที่เหลือให้มีชีวิตรอด
เราใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อศึกษาพระธรรม ไม่เพียงแต่ต้องศึกษาให้เข้าใจเหตุและผล แต่ยังต้องก้าวเข้าหาเหล่าผู้คน นอกจากเราจะเข้าใจเองแล้ว ยังต้องช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจด้วย เมื่อเรารู้แจ้งแล้ว ก็ยังต้องช่วยให้ผู้อื่นรู้แจ้งด้วย ดังนั้นเราจึงต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งอาจจะกินเวลานานนับเดือนนับปี นี่จึงถือเป็นการเสียสละอย่างมาก
การเสียสละด้วยชีวิต เราอาจทำตนเป็นแบบอย่างที่ดี ไม่เพียงแต่การกระทำ แต่ยังรวมถึงคำพูดด้วย ต้องทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง เราต้องนำสิ่งที่ได้รู้ได้เห็น ได้เข้าใจ ได้ปฏิบัติ ถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้เข้าใจด้วย ดังนั้น เราจึงไม่ต้องกังวลใดๆ ก็เหมือนกับปลาจ่าฝูง ที่หาทางตัดบ่วงแห เราเองก็ต้องคิดว่า จะทำอย่างไรให้รู้แจ้ง เพื่อขจัดความเห็นผิด ขจัดความขัดแย้งหรือการใส่ร้ายป้ายสีระหว่างกัน แน่นอนว่าการจะทำให้ตนเองและผู้อื่นรู้แจ้ง ล้วนต้องอาศัยระยะเวลายาวนาน
“การตัดบ่วงแหแห่งความเห็นที่ไม่ถูกต้อง” นั้นยากลำบากมาก ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย ดังนั้น นี่จึงเรียกว่า “การบำเพ็ญตน” เนื่องจากมันยากลำบาก จึงทำให้เอาชนะความโง่เขลาได้เพราะพวกเราทุกคนล้วนเป็นปุถุชนที่อยู่ในกามภูมิ อันเต็มไปด้วยความอยาก “ความอยาก” นี้ ช่างเย้ายวนใจเรานัก มีแต่หลุมพราง มีแต่เรื่องราว และสิ่งต่างๆ เย้ายวนใจ ทำให้เราลุ่มหลง นี่เรียกว่ากามภูมิ ดังนั้น เราต้องบำเพ็ญตน เราต้องมีความละอายอยู่เสมอ หากเรามีจิตที่รู้จักสำนึกผิด ก็จะสามารถชะล้างกิเลสออกจากจิตใจได้ เมื่อขจัดกิเลสได้หมดแล้ว จึงจะบังเกิดแสงแห่งปัญญาขึ้น จิตเดิมแท้อันบริสุทธิ์ของคนเราจึงจะปรากฏขึ้น เมื่อมีจิตเดิมแท้อันบริสุทธิ์ เราก็จะรู้แจ้งในผู้คน เรื่องราวและสิ่งของทั้งปวง
เราต้องเข้าใจให้ลึกซึ้งว่า การจะได้บำเพ็ญตนนั้น จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในกามภูมิ ถ้าเราสามารถขจัดความอยากทั้งหลายออกไปได้ ก็จะสามารถบรรลุธรรมได้บนโลกมนุษย์นี้เอง เราต้องใช้โอกาสที่ได้เกิดมาเป็นคนนี้ ตั้งใจบำเพ็ญธรรม เพราะการจะได้เกิดเป็นคนนั้นแสนยาก การจะได้ฟังธรรมยิ่งยากกว่า เมื่อมีโอกาสได้ฟังธรรมแล้ว เราจึงต้องหมั่นพากเพียรปฏิบัติ พระพุทธองค์สอนให้เรา เดินบนเส้นทางพระโพธิสัตว์ ดังนั้น เราจึงต้องดำเนินชีวิตประจำวัน บนวิถีพระโพธิสัตว์ด้วยความพากเพียรวิริยะ