ตอนที่เราเกิดมา เราไม่สามารถที่จะเลือกเกิดได้ แล้วเราจะเลือกสภาพแวดล้อมแบบที่เราต้องการได้อย่างไร ที่จริงแล้วมันขึ้นอยู่กับวาสนาของเรา วาสนาของเรากับพ่อแม่ เมื่อเราเลือกไม่ได้ว่าจะไปเกิดกับพ่อแม่คนไหน ก็เท่ากับว่าไม่สามารถเลือกสภาพแวดล้อมที่จะเกิดได้
เมื่อเราเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ ต่างคนต่างมีความฝัน อยากตามหาสิ่งที่ต้องการ และเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง แม้ว่าทุกคนอยากไขว่คว้าหาอุดมคติของตนเอง แต่ว่าจะสมหวังดังปรารถนาหรือไม่นั้น ล้วนต้องดูว่าเรามีวาสนาหรือไม่ วาสนาในอดีตชาติ และบุญในชาติปัจจุบัน หากเรามีบุญวาสนาที่ดี ก็ย่อมสมดังปรารถนาได้ค่อนข้างง่าย แต่หากขาดซึ่งบุญวาสนานั้นแล้ว ยิ่งอยากได้มากเท่าไรก็จะยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเราควรเรียนรู้ที่จะพอใจในสิ่งที่มี ไม่ว่าวาสนาจะเป็นเช่นไร อยู่ในสถานที่แบบไหน เราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานที่นั้นๆ หากเราพอใจในสิ่งที่มีได้ ย่อมรู้สึกเป็นอิสระปลอดโปร่ง
ภาพโดย บุษรา สมบัติ
แม่แกะกับลูกเสือ
ในป่าลึกบนยอดเขา มีแม่เสือตัวหนึ่ง ที่กำลังตั้งครรภ์ ใกล้ถึงกำหนดคลอด จนมันได้ออกลูกในสถานที่อันแสนห่างไกล บังเอิญมีนายพรานผ่านมา แม่เสือที่เพิ่งออกลูกและยังอ่อนแรงอยู่ เมื่อนายพรานเห็นเข้า จึงเล็งปืนไปที่แม่เสือ ก่อนจะลั่นไก แม่เสือที่ถูกยิงจึงล้มลง นายพรานจึงหามแม่เสือกลับไป โชคดีที่ลูกเสืออยู่ในที่ซ่อน จึงไม่ถูกพบ จนเมื่อมันดิ้นไปดิ้นมา จึงออกจากที่ซ่อนในที่สุด
ในตอนนั้นเอง ชาวนาผู้หนึ่งเดินผ่านมา เห็นลูกเสือยังตัวเปียกอยู่ ใกล้กันก็มีกองเลือด จึงคาดเดาได้ว่า แม่เสือน่าจะโดนนายพรานยิง ส่วนลูกเสือตัวนี้ก็จำเป็นต้องได้รับการดูแล เขาจึงอุ้มมันกลับไปด้วย
ชาวนามีแม่แกะที่เพิ่งออกลูก เขาจึงนำลูกเสือตัวนี้ไปปล่อยไว้กับฝูงแกะ ให้ดื่มนมของแม่แกะ ลูกเสือจึงเติบโตขึ้นมาท่ามกลางฝูงแกะ ทั้งแกะและเสือต่างอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ลูกเสือเองก็แสนเชื่อง
วันหนึ่ง แม่แกะพาฝูงแกะ ซึ่งแน่นอนว่ามีลูกเสือรวมอยู่ในฝูงด้วย ออกไปเล็มหญ้าในทุ่งหญ้ากว้าง ท่ามกลางทุ่งหญ้า ยังมีสระน้ำที่ทั้งใสและนิ่ง เมื่อเล็มหญ้าเสร็จแล้ว แม่แกะจึงพาพวกมันมาดื่มน้ำที่ริมสระ
เมื่อเห็นน้ำ ลูกเสือที่โตแล้วก็รีบไปที่ริมสระ ชะโงกออกไปเพื่อดื่มน้ำ ทันใดนั้นมันก็คำรามออกมา ดังสนั่นจนตัวมันเองก็ตกใจ ฝูงแกะก็แตกกระเจิงออกไปคนละทิศคนละทางด้วยความหวาดกลัว เจ้าลูกเสือเองก็ขวัญหนีดีฝ่อว่า ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ได้ตั้งใจ แต่ทำไมจึงคำรามเสียงดังได้ถึงขนาดนี้
เมื่อกี้เห็นมีสัตว์ตัวหนึ่งอยู่ในน้ำ ดังนั้นเจ้าลูกเสือจึงเดินไปที่ริมสระ เมื่อมองดูอีกครั้ง พบว่ามันก็ยังอยู่ ลูกเสือถอยออกมา ก่อนจะก้าวเข้าไปดูอีกที มันก็ยังอยู่ ลูกเสือจึงใช้อุ้งเท้าของมันแกว่งไปมาในน้ำ น้ำกระเพื่อมจนสัตว์ตัวนั้นเลือนหายไป ลูกเสือประหลาดใจมาก จึงลองถอยออกมา เมื่อน้ำนิ่งแล้ว จึงชะโงกหัวกลับเข้าไปดู ก็พบว่าสัตว์ตัวนั้นยังอยู่ ลูกเสือจึงหันไปมองแกะตัวอื่นๆ ซึ่งแตกต่างจากตัวมันอย่างสิ้นเชิง
ลูกเสือจึงได้รู้ว่า...มันไม่ใช่ “แกะ”
แท้จริงแล้วมันคือ “เสือ”
เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นสองสิ่ง หนึ่งคือสภาพแวดล้อม เรารู้ว่าธรรมชาติของเสือนั้นดุร้าย แข็งแกร่ง ทรงพลัง และเป็นสัตว์กินเนื้อ ปกติเสือจะมองแกะเป็นอาหารของมัน อีกประการก็คือ แม้ธรรมชาติของเสือจะดุร้าย แต่เมื่อมันได้รับการเลี้ยงดูจากแม่แกะมาตั้งแต่ยังเล็ก เติบโตขึ้นมาท่ามกลางฝูงแกะ ดังนั้นมันจึงสามารถอยู่ร่วมกับฝูงแกะได้อย่างสงบสุข นี่เรียกว่า สภาพแวดล้อม
พระพุทธองค์ตรัสว่า ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนล้วนมีพุทธะ จิตดั้งเดิมของคนเราบริสุทธิ์ดั่งจิตพระพุทธองค์ ดังนั้น เมื่อมีจิตดั้งเดิมอันบริสุทธิ์แล้ว ก็ต้องรักษาไว้ให้ดี ให้จิตดั้งเดิมนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ชัดเจน จนสามารถลดอุปนิสัยในอดีตลงไปได้
ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบใด สิ่งสำคัญที่สุด คือ การบ่มเพาะสติปัญญาแห่งจิตดั้งเดิมนี้ เมื่อสติปัญญาเจริญงอกงามขึ้นแล้ว จึงจะสามารถขจัดอุปนิสัยที่ไม่ดีของเราออกไปได้ ซึ่งต้องอาศัยความตั้งใจของเรา