เราต้องรู้จักใช้เวลาใน “ปัจจุบันขณะ” อย่างคุ้มค่า และยืนหยัดจนตราบชั่วนิรันดร์ คำว่า “ปัจจุบันขณะ” ก็คือทุกช่วงเวลาในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นพันปี หมื่นปี หรือเพียงแค่วินาทีเดียวใน “ปัจจุบันขณะ” เราก็ต้องใช้มันอย่างคุ้มค่า เช่นนี้จึงจะเรียกว่า รู้จัก “ยึดเวลาในปัจจุบันให้มั่น”
หากฟังสิ่งที่อาจารย์พูดในตอนนี้แล้วรู้สึกเข้าใจ นั่นก็หมายความว่า ณ “ปัจจุบันขณะ” ในอดีต คุณเคยตั้งใจฟังมาก่อนแล้ว ความตั้งใจในปัจจุบันขณะนั้น ต้องยึดเอาไว้ให้มั่น เมื่อมาฟังอีกครั้งตอนนี้ จึงจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ ความจริงแล้ว สิ่งที่จะยืนหยัดอยู่จนตราบชั่วนิจนิรันดร์ ก็คือ วินาทีในปัจจุบันขณะ ดังนั้นเราจึงต้องหมั่นพากเพียร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในเวลาใด ก็อย่าปล่อยให้สูญเปล่าไป
ความคิดในชั่วขณะนั้นสามารถกำหนดได้ว่า เราจะเป็นผู้รู้แจ้งได้หรือเปล่า เมื่อเรามุ่งมั่นตั้งปณิธานที่จะศึกษาพุทธศาสนาแล้ว ก็ต้องน้อมนำพระพุทธองค์เข้าสู่จิตใจ และน้อมนำหลักธรรมคำสอนสู่การลงมือปฏิบัติ เมื่อนั้นเราก็จะพบกับหนทางแห่งการรู้แจ้ง ถ้าหากปล่อย “ปัจจุบันขณะ” นั้นให้ล่วงเลยไป ไม่ได้ยึดเอาไว้ให้มั่น เราก็จะเป็นปุถุชนที่มีแต่ความเขลาตลอดไป ไม่มีวันได้เข้าใจในสัจธรรมของสรรพสิ่ง แม้จะมีธรรมะให้ฟังและศึกษาในชีวิต แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ ดังนั้น เราจึงต้องตั้งใจในทุก “ปัจจุบันขณะ”
รูปภาพโดย ดรรชนี สุระเทพ
นกสร้างรังบนศีรษะ
นักบวชผู้หนึ่งซึ่งมีความวิริยะอุตสาหะ และรู้จักใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ท่านต้องการจะเข้าถึงสภาวะอันเงียบสงบ ดังนั้น จึงได้ฝึกนั่งสมาธิอยู่เสมอ วันหนึ่งท่านได้ออกเดินทางไปนั่งสมาธิในป่าเขาอันห่างไกล เนื่องจากไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ทำให้ทั้งผมเผ้าและหนวดเครายาวเฟื้อย ดังนั้น นักบวชจึงได้มวยผมไว้บนศีรษะเพื่อความสะดวก
ในขณะนั้นเอง แม่นกที่กำลังต้องการวางไข่มองเห็นว่ามีรังนกอยู่ มันจึงบินลงมา ออกไข่ไว้ฟองแล้วฟองเล่า และเริ่มฟักไข่ จนในที่สุด ลูกนกก็ค่อยๆ กระเทาะเปลือกออกมา แม่นกจึงบินออกไปหาอาหารมาป้อน
เมื่อนักบวชออกจากสมาธิ ก็รู้สึกว่าเหมือนมีอะไรกำลังขยับเขยื้อนอยู่บนศีรษะของตน จึงได้ใช้มือลองคลำดูก็พบว่าเป็นรังนก ซึ่งมีทั้งลูกนกและเปลือกไข่ ดังนั้นท่านจึงไม่กล้าเคลื่อนไหว และกลั้นใจนั่งสมาธิต่อไป พร้อมกับพยายามหายใจเบาๆ เพื่อไม่ให้ลูกนกตัวน้อยตกใจ
ท่านนั่งสมาธิอยู่ที่เดิม ผ่านไปหนึ่งวัน สองวัน เจ็ดวัน หนึ่งเดือน สองเดือน ในระหว่างนี้ลูกนกก็ค่อยๆ เติบโตขึ้น แม่นกจึงสอนวิธีกางปีกและโบยบินให้ เมื่อถึงเดือนที่สาม นักบวชก็ได้มองดูแม่นกพาลูกของมัน บินออกจากรังไปด้วยความอิ่มเอิบใจ
อากาศเริ่มหนาวเย็นลง นักบวชจึงลุกขึ้นยืน แต่เพราะท่านจำศีลอยู่นานถึงสามเดือน ทำให้ร่างกายอ่อนระโหยโรยแรงจนแทบเดินไม่ไหว นักบวชจึงค่อยๆ เดินหายลับไปในป่า ท่ามกลางฤดูกาลที่กำลังผันเปลี่ยน
บนผืนแผ่นดินของเรา เคยเงียบสงัดถึงเพียงนี้ ทั้งท้องฟ้า แผ่นดิน มนุษย์และสัตว์ ต่างอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มนุษย์มีเมตตาจิตถึงขนาดที่เกรงว่า จะทำให้สัตว์อื่นตื่นตระหนกตกใจ ความสงบสุขของโลกเช่นนี้ ช่างงดงามยิ่งนัก เป็นตัวอย่างที่ดีของการ “ยึดปัจจุบันขณะไว้ให้มั่น” เพราะได้เห็นถึงจิตอันเป็นสมาธิและเต็มเปี่ยมด้วยความรัก จนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งรอบตัว กลายเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับนักบวช
เมื่อใช้ “ปัจจุบันขณะ” ทำในสิ่งที่ถูกที่ควร ก็จะเป็นช่วงเวลาที่มีค่า เป็นช่วงขณะที่จิตของเราได้เข้าใกล้จิตแห่งพุทธองค์ ซึ่งเป็นจิตดั้งเดิมของมนุษย์ทุกคน เพียงแต่การว่ายวนอยู่ในสังสารวัฏ ทำให้มันค่อยๆ เลือนลางลง ดังนั้น เมื่อไรหนอที่เราจะสามารถหวนคืนสู่พุทธจิตดั้งเดิมได้ เวลานั้นก็คือ “ตอนนี้” ในทุกวัน ทุกวินาที ล้วนเป็นเวลาที่เราจะได้สัมผัสกับธรรมะในทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ดังนั้น เราจึงต้อง “ยึดปัจจุบันขณะเอาไว้ให้มั่น”
ดังเช่นนักบวชผู้มีความวิริยะอุตสาหะในเรื่องเล่าดังกล่าวข้างต้น น่าเสียดายที่ท่านไม่มีโอกาสได้พบกับพระพุทธองค์ ไม่อย่างนั้น ด้วยความพากเพียรดังกล่าวของท่าน อาจจะทำให้สามารถบรรลุนิพพานได้ ทว่าท่านกลับมีโอกาสได้ฝึกนั่งสมาธิเพียงอย่างเดียว แม้จิตใจจะสงบนิ่ง และมีเมตตาจิต แต่เพราะท่านไม่เคยได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์ ดังนั้น สิ่งที่ท่านปรารถนาจึงมีเพียงความสงบอันลึกซึ้งของจิตใจตนเองเท่านั้น
ทุกช่วงเวลาล้วนมีคุณค่า ทุก “ปัจจุบันขณะ” ที่ผ่านไปนั้น ไม่ว่าจะเป็นเวลา สถานที่ บุคคล หรือสภาพต่างๆ ล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยธรรมะอันแสนวิเศษ