นิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงงานเลี้ยงประจำปีในหมู่บ้านอันเงียบสงบเล็กๆ ในขณะที่ทุกคนกำลังเมามายสนุกสนานและอิ่มหมีพีมันกันอยู่ ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่ามีไอร้อนระอุขึ้นมา
เมื่อหันกลับไปดู ก็เห็นไฟป่ากำลังลุกไหม้อยู่ไกลลิบ ทำให้ทุกคนต่างตกใจกลัว แต่ชายผู้หนึ่งซึ่งยังมีสติ ไม่ได้เมามาย พูดขึ้นมาว่า พระศากยมุนีพุทธเจ้ากำลังประทับอยู่ไม่ไกล ขอให้ทุกคนร่วมตั้งจิตอธิษฐานถึงพระพุทธองค์ ก่อนจะได้ยินเสียงอันอ่อนโยนโชยมาดั่งสายลมเย็น เป็นถ้อยคำที่ชัดเจนว่า “ไฟไม่เพียงอยู่ตรงหน้าเฉพาะที่เห็นเท่านั้น แท้จริงแล้ว ไฟมีสามชนิด หนึ่งคือไฟโลภะ สองคือไฟโทสะ สามคือไฟโมหะ ไฟทั้งสามน่ากลัวยิ่งนัก” “ขอให้ทุกท่านสงบจิตใจ ตอนนี้อาตมาจะใช้น้ำแห่งปัญญามาชโลมจิตใจ เพื่อดับไฟทั้งสามให้มอดโดยเร็ว” เมื่อพระพุทธองค์ตรัสจบ จึงปรากฎกายให้ทุกคนเห็น
ในขณะที่ฟังธรรมเทศนาจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ไฟที่กำลังไหม้อยู่ในป่าเบื้องหน้า ก็ค่อยๆ ดับลงอย่างไม่รู้ตัว พระภิกษุทั้งหลายที่ติดตามพระพุทธองค์มาด้วย ต่างก็รู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งนักว่า เหตุใดชาวบ้านเหล่านี้ถึงโชคดี ที่พระพุทธองค์มาประทับอยู่ใกล้ๆ พอดีจึงสามารถช่วยเหลือได้ทัน จากนั้นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงประทับลง แล้วเริ่มเทศน์ถึงเรื่องราวอดีตกาลเมื่อหลายกัปหลายกัลป์ที่ผ่านมา
รูปภาพโดย พิณญ์ธิชา จันทร์สุขศรี
นกน้อยดับไฟป่า
ในป่าแห้งแล้งแห่งหนึ่ง เมื่อลมพัดมากระทบ กิ่งไม้ที่แห้งเหี่ยวก็เสียดสีกันก่อเกิดเปลวเพลิงลุกไหม้ สัตว์ป่าน้อยใหญ่ต่างต้องหนีเอาตัวรอด หนึ่งในนั้นคือนกน้อยซึ่งเปี่ยมเมตตาจิต มันคิดว่าตนเองมีปีกสามารถบินหนีไฟป่าเอาตัวรอดได้ แต่สัตว์อื่นๆ อีกมากมายไม่มีปีก เปลวเพลิงลามไปทั่วจนทางถูกตัดขาด หากไฟยังลุกไหม้ต่อ ไม่รู้ว่าจะต้องสูญเสียอีกกี่ชีวิตเพราะถูกไฟคลอก
เมื่อเกิดความเมตตาสงสาร มันจึงรีบกางปีกออกไปชุบน้ำที่มหาสมุทร เพื่อนำมาดับไฟที่กำลังไหม้ สะบัดน้ำทีละหยดลงไปดับเปลวเพลิง บินไปบินมานับพันนับหมื่นรอบ
เมื่อเทพยดาได้เห็นก็ซาบซึ้งใจยิ่งนัก จึงได้บอกกับนกน้อยว่า แค่ใช้ปีกสองข้างชุบน้ำ จะไปดับไฟป่าได้อย่างไร ขนาดตัวของเจ้าก็เล็กนิดเดียว แต่เจ้านกก็ตอบว่า “แม้ร่างกายข้าจะเล็ก แต่ปณิธานข้ายิ่งใหญ่กว่าไฟป่านี้หลายเท่า หากในชาตินี้ดับไฟไม่หมด ข้าสาบานว่าชาติหน้าจะมาดับต่อ จนกว่าไฟป่านี้จะหมดไป” เมื่อเทพยดาได้ยินมหาปณิธานจากเมตตาจิตนี้ จึงรู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก ก่อนจะดลบันดาลให้ฝนตกหนัก เพื่อดับไฟป่านี้หมดสิ้น
พระพุทธองค์ตรัสถึงตรงนี้ จึงแย้มพระสรวลและตรัสต่อภิกษุทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย ท่านทราบไหม นกน้อยตัวนั้น ก็คือเราในชาติก่อน ที่บำเพ็ญพระโพธิสัตว์เมื่อหลายกัปหลายกัลป์ แม้ร่างกายจะเป็นนกตัวน้อย แต่ปณิธานที่ตั้งไว้ทำให้มีบุญสัมพันธ์กับชาวบ้านเหล่านี้ สัตว์ป่าทั้งหลายที่ได้รับการช่วยเหลือจากเราในตอนนั้น ได้เกิดมาเป็นคนในตอนนี้ แต่เพราะยังมีนิสัยเดิมติดตัวมาตั้งแต่เกิด ถึงแม้จะเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่กลับไม่เคยได้ขจัดนิสัยสันดานเดิมออกไป ครั้งนี้เราจึงเทศน์ถึงไฟสามชนิดในจิตใจ หวังให้ปัญญานี้ เป็นเครื่องดับไฟกิเลสในใจของทุกคนให้หมดสิ้น”
เพราะโลกมีการแบ่งแยกรวยจน ใจของคนจึงมีไฟสามชนิดนี้อยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่รู้ว่าเมื่อไรไฟกิเลสทั้งสาม จะปะทุขึ้นมาเผาผลาญโลกมนุษย์อีก พระพุทธองค์ทรงหวังว่า จะใช้ปัญญาญาณของท่าน มาช่วยขจัดภัยพิบัติที่มองเห็นได้บนโลกมนุษย์ แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องขจัดกิเลสที่มองไม่เห็นในจิตใจ เพื่อหวนคืนสู่ธาตุแท้ที่เท่าเทียมบริสุทธิ์ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความทุ่มเท จึงจะเข้าใจหลักธรรมคำสอนของพุทธองค์