ในสมัยพุทธกาล ขณะที่พระพุทธองค์ทรงนำเหล่าสงฆ์สาวกเดินทางผ่านหมู่บ้านในชนบทแห่งหนึ่ง เมื่อผู้คนพบเห็นพระพุทธองค์และพระภิกษุที่สง่างามน่าเลื่อมใส ต่างก็รู้สึกปีติและรายล้อมเข้ามาด้วยความศรัทธา พระพุทธองค์จึงทรงเลือกประทับลงที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเทศนา เนื่องจากเห็นว่าทุกคนล้วนเป็นฆราวาสทั่วไป ไม่ใช่นักบวช พระองค์จึงทรงเริ่มต้นด้วยการเล่านิทาน
“ท่านทั้งหลายรู้ไหมว่าทำไม คนเราจึงใช้ชีวิตอยู่ในความลุ่มหลง ท่ามกลางมายาภาพที่สร้างขึ้น คิดว่าความลวงเป็นความจริง และด้วยจิตใจที่ลุ่มหลงนี้ ชีวิตจึงเป็นทุกข์ ทุกข์มากมายเหลือคณา” จากนั้นพระพุทธองค์จึงทรงเล่านิทานให้ทุกคนฟัง
รูปภาพโดย ศุภักษร ธิกา
เห็นมโนภาพเป็นของจริง
ขณะที่สามีภรรยาหนุ่มสาวฐานะร่ำรวยและเหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยกคู่หนึ่ง กำลังรับประทานอาหารกันอยู่นั้น สามีที่นั่งอยู่ก็รู้สึกว่าภรรยาของตนเองยิ่งมองก็ยิ่งสวย ทันใดนั้นในใจก็พลันคิดขึ้นว่า หากได้ดื่มเหล้าคงจะดีไม่น้อย ฝ่ายภรรยาก็แสนรู้ใจ เธอจึงพูดขึ้นว่า จะไปนำเหล้ามาให้ผู้เป็นสามี
เมื่อนางเปิดฝาไหออก เหล้าในนั้นยังคงนิ่งและใสกระจ่าง แต่เมื่อจะก้มลงตัก ทันใดนั้นก็เห็นหญิงงามคนหนึ่งอยู่ข้างใน เมื่อนางขยับตัว หญิงในไหก็ขยับตาม เมื่อลองยิ้มให้ หญิงในไหก็ยิ้มตาม ไม่ว่าจะทำท่าทางอะไร หญิงในไหก็ทำตามด้วยอากัปกิริยาที่สวยสดงดงาม
นางจึงนึกขึ้นได้ว่า “ก่อนที่สามีจะแต่งงานกับข้า เขาคงเคยซุกซ่อนหญิงงามเอาไว้ในบ้านอยู่ก่อนแล้ว” ทำให้นางโกรธมาก จึงกลับออกไปทะเลาะกับสามีว่า “ท่านมีหญิงอื่นอยู่แล้ว ทำไมยังมาแต่งงานกับข้าอีก” สามีจึงตอบกลับด้วยความโมโหว่า “ทำไมอยู่ดีๆ เจ้าก็โมโห หาเรื่องมาทะเลาะกับข้า ในไหเหล้ามีอะไรซ่อนอยู่กันแน่” เมื่อเขาชะโงกหน้าเข้าไปดูจึงพบว่า ที่แท้ก็เพราะมีชายหนุ่มรูปงามซ่อนอยู่ นางจึงจงใจหาเรื่องมาทะเลาะ ทั้งสองจึงเริ่มมีปากเสียงกันใหญ่โตมากขึ้น
เพื่อนคนหนึ่งของชายหนุ่มซึ่งเป็นอาจารย์พราหมณ์ได้แวะมาหาที่บ้าน จึงถามขึ้นว่า “พวกท่านทะเลาะกันเพราะอะไร” ทั้งสองต่างก็อ้างเหตุผลของตัวเอง “ความจริงแล้ว พวกท่านเห็นอะไรในไหเหล้ากันแน่” เขาจึงลองชะโงกหน้าเข้าไปดู ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ปกติพวกท่านทั้งสองต่างก็เชื่อฟังคำชี้แนะจากข้า มันไม่จริงใช่ไหมที่พวกท่านเชิญนักบวชรูปอื่นมาบูชาไว้ถึงในบ้านด้วย” จากนั้นจึงผละออกไปด้วยความโกรธ
สองสามีภรรยายังคงทะเลาะกันต่อ จนกระทั่งภิกษุรูปหนึ่งเดินผ่านมา เมื่อได้ฟังเรื่องราวจนจบ จึงเข้าไปสำรวจดูในไหเหล้า ยิ้มเล็กน้อย แล้วหันกลับมาพูดว่า “ท่านทั้งสองอย่าทะเลาะกันเลย อาตมาจะเชิญผู้ที่อยู่ในไหออกมาคุยกับพวกท่าน”
ทั้งสองจึงเดินตามเข้าไป จากนั้นภิกษุก็หยิบหินขึ้นมาทุบไหเหล้าจนแตก ปรากฏว่าข้างในไม่มีทั้งชายและหญิงรูปงามแต่อย่างใด ในตอนนี้เองที่ทั้งสองตระหนักว่า แท้จริงแล้วทั้งหมดเป็นเพียงแค่มายาภาพ เราล้วนถูกเปลวเพลิงที่รายล้อม เผาผลาญจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นเปลวเพลิงแห่งโทสะ ความอิจฉาริษยาและความระแวงสงสัย จนสร้างความโกลาหลวุ่นวายในชีวิตมากมาย
เมื่อพระพุทองค์เล่าจบ จึงตรัสกับทุกคนว่า “ท่านทั้งหลายทราบหรือไม่ว่า ชีวิตคนเรานั้นแสนสั้น ชีวิตอันแสนสั้นนี้ก็เป็นเพียงมายาภาพ ผู้คนต่างก็ขัดแย้งกันเพราะมายาภาพที่ไม่มีอยู่จริง ดังเช่น สามีภรรยาคู่นี้ ที่ทะเลาะกันจนเกือบบ้านแตกเพราะเงาสะท้อนในไหเหล้า ทั้งร่างกายและจิตใจก็ล้วนไม่สงบสุข นี่คือสิ่งที่หลายคนกำลังหลงผิดอยู่”
ทั้งหมดก็คือ “ขันธ์ 5” ซึ่งประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ทำให้จิตใจหลงผิดว้าวุ่น เพราะสิ่งภายนอกมาชักนำทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิดขึ้นในจิตใจ กลายเป็นความโลภ โกรธ หลง หยิ่งยโสและเคลือบแคลงสงสัย ความรู้สึกทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก จนทำให้จิตใจไม่สมดุล เพราะความคิดที่หลงทาง จึงทำให้จิตใจว้าวุ่นลุ่มหลง นำมาซึ่งการก่อกรรมทำเข็ญมากมาย ทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่กับความคิดทั้งสิ้น
เรามักพูดกันอยู่เสมอว่า ชีวิตอยู่ได้ไม่กี่สิบปี ในช่วงชีวิตที่ไม่ถึงร้อยปีนี้ เราได้ก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้มากน้อยแค่ไหน ไม่เคยตระหนักว่าชีวิตแสนสั้นและเป็นอนิจจัง ไม่สามารถตัดกิเลสอย่างความโลภ โกรธ หลงออกไปได้ จนต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิทั้งหก ดังนั้น เราจึงต้องระมัดระวังอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นอาจจะถูกสิ่งภายนอกยั่วยุได้
เมื่อพระพุทธองค์เทศนาจบ ทุกคนจึงได้ก็เข้าใจว่า แท้จริงแล้วชีวิตในแต่ละวันของเราก็มัวแต่ถือสาและคิดเล็กคิดน้อยกับคนในครอบครัว แม่ที่โกรธเพราะลูกดื้อไม่เชื่อฟัง ภรรยาที่โมโหเพราะสามีไม่อยู่ในกรอบ ส่วนผู้ที่เป็นสามีฟังแล้วก็ได้คิดทบทวนตัวเองว่า ในแต่ละวันที่ออกไปทำงาน ก็รู้สึกระแวงสงสัยผู้คนมากหน้าหลายตาที่ประสบพบเจอ กลับมาบ้านก็ตั้งความหวังกับภรรยาไว้สูงเกินไป หรือกลุ้มใจเรื่องลูกจนปล่อยวางไม่ได้
เมื่อทุกคนได้ฟังเทศนา จึงได้เข้าใจว่าแท้จริงแล้ว ชีวิตอันแสนสั้นของเรานั้น ทั้งหมดเป็นเพียงแค่มายาภาพ พระพุทธองค์ทรงเตือนให้เราใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง รู้ทันจิตใจที่ขึ้นลงตามมายาภาพ เดี๋ยวก็อยากได้สิ่งนี้ เดี๋ยวก็อยากได้สิ่งนั้น ไม่สามารถเข้ากับผู้อื่นได้ เพราะมัวแต่ถือสาหาความกัน ทั้งหมดล้วนเป็นมายาภาพที่เกิดขึ้นจากจิตใจของตัวเองทั้งสิ้น ดังนั้น เราจึงต้องดูแลรักษาจิตใจของตัวเองให้ดีอยู่เสมอ