การใช้ชีวิตในแต่ละวันของเราทุกคน ไม่ว่าจะยากดีมีจนล้วนไม่แตกต่างกัน หากไม่รู้จักทำหน้าที่ของตนเองให้ดี หรือขาดความระมัดระวัง ปล่อยปละละเลยความคิดและการกระทำ ก็จะนำมาซึ่งความทุกข์ ตามที่เรามักพูดกันอยู่เสมอว่า ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งของภายนอกหรือฐานะครอบครัว แต่เกิดขึ้นจากการกระทำของตนเอง
บางครอบครัวทั้งที่ฐานะร่ำรวย แต่กลับมีปัญหาจนแตกแยกกันเพราะทรัพย์สินเงินทอง บางคนก็ถึงขั้นเสียชีวิตไป บางคนก็หันไปเสพยา เล่นการพนัน และยังมีอีกบางคนที่เพราะไม่สมหวังในความรัก ทำให้ชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ด้วยการหันไปหลงมอมเมาอยู่กับเหล้าและบุหรี่ ไม่รู้จักดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย
ชาวฉือจี้ซึ่งได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงเข้าไปให้การดูแลด้วยความรักอันจริงใจ จนกระทั่งพวกเขายอมเปิดใจ จากนั้นจึงโน้มน้าวให้ครอบครัวกลับมาปรับความเข้าใจกัน และเริ่มต้นอนาคตที่สดใสใหม่อีกครั้ง ดังนั้น เราจึงต้องดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวัง อย่าออกนอกลู่นอกทางโดยเด็ดขาด
การรักษาศีล คือ พื้นฐานของการเป็นคนดี ถ้าเราผิดศีลก็จะถูกความโลภครอบงำได้ง่าย การรักษาศีล คือการละเว้นจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ความหยิ่งยโส และความสงสัย เมื่อไรที่เราไม่รักษาศีล ก็จะถูก “ความโลภ” หรือ “ความอยาก” ครอบงำเป็นอย่างแรก เช่น อยากได้ความรัก อยากเสพยา ความหลงที่เกิดขึ้นชั่วขณะก็นำมาซึ่งความเขลา จนอยากหันไปลองสิ่งเสพติดดู หรือทำให้ครอบครัวตกต่ำลงเพราะติดการพนัน ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับความหลงและความโลภ ดังนั้น เราจึงต้องระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา เหมือนการเดินไต่เชือก ฝีเท้าทุกย่างก้าวกำลังเดินอยู่บน “ลวดสลิง” ที่ห้ามประมาทโดยเด็ดขาด
พระพุทธองค์จึงทรงเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ฟัง เพื่อสอนว่าเมื่อไรที่ปล่อยให้ความโลภเกิดขึ้นภายในจิตใจ จะนำมาซึ่งภยันตรายอันใหญ่หลวง
รูปภาพโดย เกณิกา เตจ๊ะนันท์
นกติดตาข่าย
พญานกตัวหนึ่งนำสมาชิกในฝูงจำนวน 500 ตัว บินเข้าไปหาอาหารในสวนของพระราชา เมื่อพระองค์ทรงทราบก็รู้สึกว่า นี่เป็นโอกาสดีที่จะจับนกพวกนี้ จึงสั่งให้ทุกคนนำตาข่ายมากางไว้ ผลปรากฎว่าเมื่อฝูงนกบินเข้ามาอีก ก็ติดอยู่ในตาข่ายนี้ทุกตัว ทำให้พวกขุนนางที่พบเห็น ต่างก็ดีอกดีใจเป็นอย่างมาก
พระราชาจึงสั่งให้ทุกคนนำกรงมาขังฝูงนกเอาไว้ก่อน คอยป้อนข้าวป้อนน้ำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เพื่อขุนให้ทุกตัวอ้วนท้วนสมบูรณ์ พญานกรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ปกติมันจะรักษาศีลอยู่ตลอดเวลา แต่ความคิดที่ผิดเพี้ยนเพียงชั่ววูบ ทำให้ตัดสินใจบินออกนอกเขตหากิน จนถูกดักจับในที่สุด มันจึงรู้สึกผิดอย่างยิ่ง
วันหนึ่งเมื่อทหารนำข้าวมาให้ พญานกจึงบอกกับฝูงว่า “ถ้ายังอยากมีชีวิต ก็อย่ากินอาหาร” แต่ฝูงนกกลับตอบว่า “หากไม่กินก็ต้องหิวตาย” พญานกจึงอธิบายว่า “ถ้าเรากินอิ่มทุกวัน ร่างกายก็จะอ้วนท้วน นี่คือสิ่งที่พระราชากำลังตั้งหน้าตั้งตารอคอย แต่ถ้าเราปล่อยให้ร่างกายผอมแห้งลง ไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสหนีรอดออกไปได้”
นับจากนั้นเป็นต้นมา ฝูงนกทั้ง 500 ตัวจึงเริ่มอดอาหาร ผ่านไปไม่กี่วัน พวกมันก็เริ่มผ่ายผอมลง ขณะเดียวกัน พญานกก็พยายามหาลู่ทางหลบหนีอยู่ตลอดเวลา ต่อมาจึงค้นพบทางออก ด้วยการค่อยๆ จิกซี่ไม้กรงนกทุกวันจนหัก ทำให้ร่างกายที่ผ่ายผอมของเหล่าฝูงนกสามารถลอดออกไปได้
พญานกจึงหันมาบอกกับฝูงว่า “มาเถิด จงทำใจให้นิ่งสงบ รำลึกถึงพระรัตนตรัย แล้วค่อยๆ เดินออกจากช่องนี้ไป”
พญานกรอให้ฝูงทั้ง 500 ตัวออกไปรอที่ด้านนอกก่อน มันจึงค่อยบินออกมาเป็นตัวสุดท้าย ฝูงนกต่างก็ร้องเซ็งแซ่ด้วยความดีใจ ราวกับเสียงสวดบูชาพระรัตนตรัย
พระพุทธองค์ตรัสว่า “ท่านทราบไหม พญานกตัวนั้นก็คืออาตมาเอง ส่วนฝูงนก 500 ตัว ก็คือสาวกทั้งหลายในตอนนี้ ชาติก่อนเราต่างอยู่กันอย่างสงบสุขเพราะรู้จักรักษาศีลอย่างเคร่งครัด แต่ด้วยความคิดที่ออกนอกลู่ทางแค่ชั่ววูบ จึงตัดสินใจข้ามเขตหากิน จนทำให้เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ดังนั้น จึงขอให้ทุกคนดูแลรักษาความคิดจิตใจของตนเองให้ดี ระมัดระวังอยู่เสมอ อย่าใช้ชีวิตด้วยความผิดพลาดพลั้งเผลอเป็นอันขาด”
ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือความคิดจิตใจ ต้องดูแลรักษาให้ดี อย่าปล่อยปละละเลย เพราะถ้าหากพลั้งพลาดไปเพียงนิดเดียว ย่อมเป็นเหตุให้เราผิดศีล จนออกนอกลู่นอกทางและนำมาซึ่งความทุกข์อันหนักหนาเหลือคณา ดังนั้น จึงขอให้ทุกคนใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังและรักษาความคิดจิตใจไว้ให้ดี